Sunday, July 31, 2016

สะพายกล้อง...ท่องแดนจิงโจ้ : ตอนที่ 2 ใบไม้เปลี่ยนสี ที่บลูเมาท์เทน ( Traveler ofOz : Ep. 2 Autumn in Blue Mountains)

สวัสดีคุณผู้อ้านที่น่าร๊ากกก ทุกท่าน

ขอนอกเรื่องออสเตรเลียแป๊บ เนื่องจาก ฝรั่งมาบ้าน ตอน อเล็กซ์มีผู้อ่านเยอะมากเป็นประวัติการณ์ของ เจอนี่ เจอนั่น เลย และทำให้จำนวนครั้งที่มีคนคลิกเข้ามาอ่านรวมทะลุพันแล้ว วู้วววววว  ดิชั้นอยากจะกราบแทบอกคุณผู้อ่านทุกท่าน (ถ้าเป็นผู้อ่านผู้ชายโสดและหล่อดิชั้นขอกราบนานหน่อย ไม่ว่ากันนะคะ) ที่ทุกๆ ท่านให้การสนับสนุนดีๆ แบบนี้ ชะนียักษ์ซาบซึ้งจริงๆ ค่ะ

มาต่อเรื่องออสเตรเลียกันดีกว่า  วันที่ 2 แล้วเกิดอะไรบ้าง




วันนี้พี่ฟ้าต้องตื่นแต่เช้าไปเช่ารถค่ะ เพราะเรา 4 คนจะเดินทางไกลไปอุทยานแห่งชาติ Blue Mountains กันค่ะ
ซึ่งมันกว้างใหญ่มาก จนพี่ฟ้าถามว่าอยากไปตรงไหนเป็นพิเศษรึเปล่า ความที่หน่อยเป็นคนเตรียมตัวมาดีมากกกก(ประชด) เลยเสิร์ชหาข้อมูล ณ ตรงนั้นเลย ปรากฎว่าเห็นคำว่า Tree Sisters อยู่ลำดับแรกเลย เลยบอกพี่ฟ้าไป พี่ฟ้าบอกว่า อ้อ มันเป็นหินสามก้อนอะนะ  ดีที่คุณแม่ของพี่ฟ้ามาเสริมว่า มันมีตำนานของหินสามก้อนนี้

เรื่องมีอยู่ว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชนเผ่าอยู่ชนเผ่านึงในออสเตรเลีย มีกฎเหล็กว่าหญิงสาวในเผ่าต้องแต่งงานกับคนในเผ่าเดียวกันเท่านั้น แต่มีสามสาวพี่น้องตระกูลหนึ่งฝ่าฝืนกฎ จึงโดนลงโทษโดยการถูกสาปให้เป็นหินสามก้อนเรียงกันดังที่เห็นในปัจจุบัน -- ขอบคุณคุณแม่มากค่ะ _/|\_

พอพี่ฟ้าไปเช่ารถมาแล้ว เรา 4 คนก็มุ่งหน้าสู่ Katoomba ซึ่งเป็นเขตที่ตั้งของ Blue Mountain ค่ะ วันนี้เป็นวันที่ 2 ที่หน่อยมาถึงออส ยังปรับเวลาไม่ได้ ระหว่างทางเลยหลับตลอดเลย - -" พี่ฟ้ากับคุณแม่ชวนให้ดูต้นไม้สวยๆ ก็อดดู -- อายจัง

พอถึงที่หมาย อากาศแจ่มใสมากค่ะ เราเลยแวะถ่ายรูปกัน


เห็นแล้ว Tree Sister


วิวรอบๆ ค่ะ  คิดว่านี่คงเป็นที่มาของคำว่า Blue Mountains (แอบแต่งสีในกล้องนิดๆ ค่ะ)



เราถ่ายรูปกันจนอิ่ม แต่ท้องเราหิว เลยกลับไปตรงจุดที่เราจอดรถเพื่อที่จะกินข้าวกลางวันที่คุณแม่เตรียมมาให้ค่ะ

ป้ายที่นี่อย่างเก๋


อากาศดีมาก วันนี้วันจันทร์ ไม่ค่อยมีคน ดี๊ดี


จุดนี้ ถ้าตะโกนไปจะมีเสียงสะท้อน เลยตะโกนไปว่า "เหินฟ้าาาาา" -- เก่ามากกก  ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 30 ควรได้รับคำแนะนำ  


เริ่มเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสี


ใบเมเปิ้ล ที่นี่มีเยอะมาก แทบจะทุกมุมถนนของ sydney ใครเคยไปดูใบเมเปิ้ลที่ภูกระดึงแล้วรู้สึกขัดใจ ที่ไม่สามารถเก็บกลับบ้านได้ จะไปแคนาดาก็ไกลไป มา Sydney เลย หล่นเกลื่อนกลาดเลยค่ะคู๊ณณณณ  


พอเราจัดการกับอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ทุกคนเสนอว่า หน่อยเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกน่าจะไปนั่งพวกกระเช้าชมวิวที่นี่นะ  ทีแรกหน่อยก็ไม่อยากไปนั่งหรอกค่ะ เพราะหน่อยกลัวความสูงมาก >.<" แต่คิดไปคิดมา ออสเตรเลียก็ไม่ใช่ที่ที่เราจะมากันได้บ่อยๆ เลยตัดสินใจว่า เอาวะ ไหนๆ ก็ไหนๆ เสียตังค์ข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกลขนาดนี้ละ ลุย!!!!

ไปถึงที่ขายตั๋ว ก็ซื้อตั๋วขึ้นยานพาหนะ 3 แบบ 3 เส้นทาง สนนราคาอยู่ที่ 40 เหรียญ คราวนี้หน่อยต้องขึ้นคนเดียว เพราะคนอืนเคยมากันหลายครั้งแล้ว จะให้มาเสียเงินอีกก็จะกระไรอยู่ พอจ่ายเงินแล้วเค้าก็มี Wrist band ให้ใส่แบบนี้เป็น access card ค่ะ


ตอนเค้าบอกว่า " Give me your right hand, please" ชะนียื่นมือซ้ายเฉย คนขายตั๋วก็ทำหน้างงๆ ดีว่าพี่ฟ้าทัก  อายเลยเรา ไม่แน่ใจว่าหน่อยอ่อนภาษาอังกฤษหรือไม่รู้ซ้ายขวากันแน่

ซื้อตั๋วแล้วก็แยกย้ายกับกลุ่มพี่ฟ้าและครอบครัวซึ่งไปขับรถเล่นแถวๆ นั้น  ส่วนหน่อยก็มาเข้าแถวรอ Cable Car แบบนี้ค่ะ


เข้าไปข้างในก็เป็นแบบนี้


พอถึงปลายทาง ก็มีเส้นทางสำรวจธรรมชาติค่ะ



มีป้ายอธิบายตลอดทาง  แถมมีการ์ตูนน่ารักๆ ด้วย มากันได้ทั้งครอบครัวเลยค่ะ


อันนี้เป็นต้นไม้ตามคำอธิบายข้างบนค่ะ แปลกันเอาเองนะ


จริงๆ มีคำอธิบายเยอะมากค่ะ  แต่ยกตัวอย่างแค่นี้ก่อน  พอหมดจากธรรมชาติแล้วก็มาถึงเรื่องประวัติศาตร์กันบ้าง  ตรงนี้เป็นเหมืองถ่านหินเก่าค่ะ ตอนนี้ไม่มีการขุดถ่านหินละ


แสดงอุปกรณ์ในการทำเหมืองถ่านหินค่ะ


รูปปั้นแสดงวิถีชีวิตของชาวเหมืองค่ะ



วิว Three Sisters จากตรงเหมืองค่ะ


รถรางที่ขนถ่านหินขึ้นไปข้างบนในสมัยก่อนค่ะ เค้าเอามาจัดแสดงให้ดูค่ะ



ส่วนอันนี้คือรถรางปัจจุบันค่ะ ใช้สำหรับการท่องเที่ยว จะเห็นได้ว่าดูปลอดภัยกว่ากันเยอะ


จะได้นั่งกลับขึ้นไปที่เดิมล่ะนะ


ตอนนั่งทีแรกก็ไม่คิดอะไร คิดว่าคงแค่ชันหน่อยๆ แค่นั้น ที่ไหนได้
รางมันชันมากค่ะ ชันจนลำตัวแทบจะขนานกับพื้นโลก  แถมมีช่วงนึงรางนั้นขุดเข้าไปในภูเขา มืดๆ ด้วย adventure จริงๆ  แนะนำให้ลองนั่งกันค่ะ -- ไม่อยากจะคิดว่าสมัยก่อนเค้านั่งกันได้ไง ไม่มีกระจกปิดข้างบนแบบนี้ บรื๊ออออ

พอถึงข้างบนก็นัง Sky Way ต่อค่ะ


บรรยากาศข้างใน 


พื้นส่วนหนึ่งเป็นกระจกด้วย


ถึงอีกฝั่งแว้ว วิวสวยมาก


ป่าไม้ที่นี่ยังดูสมบูรณ์ดี  อยากให้เมืองไทยเป็นแบบนี้บ้าง


ต้นอะไรไม่รู้น่ารักดี  แต่ถ่ายหน้าเบลอหลังชัด - -" ถ่ายตามตำราไหนเนี่ย


รูป Sky Way จากข้างล่างค่ะ


กลับแล้ว  เห็นเงา Sky Way มั้ยคะ



พอจบแล้วก็โทรให้พี่ฟ้ากลับมารับค่ะ แล้วเราก็ขับรถกลับกันไปซื้อของมาทำอาหารเย็นวันนั้นซึ่งเป็นการฉลองวันคล้ายวันเกิดของพี่ชายพี่ฟ้าด้วย เอ้า ชนนนนนนน

ปล. เนื้อแกะอร่อยมาก  ได้ข่าวว่าเนื้อวัวก็อร่อยมากเช่นกัน พอดีหน่อยไม่กินเนื้อวัวค่ะ
ปล 2. ไวน์ที่นี่ถูกมาก แต่เสียดายตับไม่ค่อยดี อดกินตลอดชีวิตเลยค่ะ T.T

วันนี้จบแล้ว  คราวหน้ามาดูความโก๊ะกังของชะนีกันค่ะ
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ รักนะจุ๊บๆ





































Monday, July 25, 2016

ฝรั่งมาบ้าน : Episode 3 อเล็กซ์ (Alex)

สวัสดีค่ะ มิตรรักชาวบล็อกที่รัก

เนื่องจากตอนที่ 2 ของออสเตรเลียยังขี้เกียจเขียน เลยเอาเรื่องสดๆ ร้อนๆ มาเขียนก่อน
ต้องเข้าใจนักเขียนอารมณ์ศิลปินไส้แห้งนิดนึง วันไหนอยากเขียนค่อยเขียน ทำใจหน่อยนะคะผู้อ่าน   - -"

วันนี้มาเริ่มเรื่องของฝรั่งมาบ้านคนที่ 3 กันดีกว่า ถ้าเปรียบป้าแครี่ (ป้าคนแรกที่มาพักที่ห้อง)เป็น แครี่ แบรดชอว์ และ เรเชล คือ ชาล็อต แห่ง Sex And The City แล้ว Couchsurfer รายที่ 3 นี้ดิชั้นว่านางเด็ดมากเปรียบได้กับนางคือ สะแมนต้า เลยทีเดียว (สำหรับเรื่องของป้าแครี่ และ เรเชล นั้นไปหาอ่านได้ค่ะทางด้านขวาของหน้าจอค่ะ คลี่ลิ้งค์ออกมาเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เจอ ส่วน Sex And The City ไปหาดูเองนะคะ)

สำหรับ Couchsurfer รายนี้มีนามกรว่า อเล็กซ์ ( Alex) ไม่ต้องเล่นมุกว่า อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน นะคะ ป๋าเฟอร์กี้นางวางมือนานแล้ว ปล่อยนางไปเถอะ  ต่อๆ พูดถึงอเล็กซ์เป็นสาวห้าว ก๋ากั่น จากแดนน้ำหอม เรานัดกันในเช้าตรู่ของวันทำงานวันหนึ่ง นางบอกว่านางนั่งรถจากเชียงใหม่จะมาถึงหมอชิตในเวลาประมาณ 6 โมงเช้า ซึ่งเราต่างก็คิดว่าดิชั้นน่าจะไปทำงานทันแน่ๆ  เลยรอนาง ด้วยเรื่องตารางเดินรถที่ล่าช้ากว่ากำหนด อีกทั้งการสื่อสารกับแท๊กซี่ และความแน่นขนัดของรถไฟฟ้า ทำให้เราเจอกันช้าไปมาก จนหน่อยต้องส่งเมล์บอกหัวหน้าว่าวันนี้ของเข้างานสายนะก๊าบ

สุดท้ายนางมาถึงคอนโดของดิชั้นด้วยสภาพอิดโรยเล็กน้อยค่ะ นางบอกได้คำเดียวว่า "It's crazy"

กว่านางจะมาถึงคอนโดก็ 9 โมงกว่าๆ ละ มาถึงนางก็พ่นภาษาอังกฤษไฟแล่บเลย คุณที่รู้จักหน่อยเป็นการส่วนตัว และคิดว่าหน่อยพูดเก่งและพูดเร็วแล้ว หน่อยขอบอกไว้เลย เหนือฟ้ายังมีฟ้าค่ะ เมื่อฟ้าส่งอเล็กซ์มาเกิดแล้ว ใยต้องส่งชะนียักษ์อย่างหน่อยมาเกิดด้วย ดิชั้นว่าความช่างพูดช่างคุยของดิชั้นต้องคูณ 3 คูณ 4 กันเลยทีเดียวถึงจะเทียบเท่านาง นางเล่าโน่นนี่นั่นอยู่นาน จนหน่อยต้องขอตัวกลัวจะไปทำงานสายมากไปกว่านี้ค่ะ

เย็นนั้นก็นัดนางที่ terminal 21 ค่ะ เพราะเป็นที่ต่อรถไฟฟ้ากลับบ้านค่ะ หน่อยเลือกร้าน Terrace ซึ่งมีอาหารไทยให้เลือกหลากหลาย ระหว่างรออาหารก็เม้าท์มอยหอยกาบกันมากมาย นางบอกว่านางชอบเที่ยวแบบคนท้องถิ่น นางอยากรู้ว่าคนท้องถิ่นเค้าใช้ชีวิตยังงัยกินอยู่ยังงัย นี่สินะการท่องเที่ยวแบบ couchsurfing 

แล้วนางก็ถามว่า เธอทำงานอะไร หน่อยก็ตอบไป นางบอกว่า งั้นยูก็เป็นพวก geek สินะ กรี๊ดดดดดด
ใครว่าชั้น geek ไม่จริ๊งงงงง  ว่าแล้วก็หยิบ ipad ขึ้นมาหาข้อมูล --- จ้ะ ไม่ geek เลยจ้ะ

พอกินข้าวเสร็จก็พานางไปซอยคาวบอย แต่วันนั้นเป็นวันเข้าพรรษา ร้านเลยไม่ค่อยเปิดกันเท่าไร เดินแป๊บเดียวก็สุดซอยก็กลับ

จบไปแล้ว 1 วัน แต่ไม่ได้ถ่ายรูปเลย อุตส่าห์ฝากอเล็กซ์หยิบกล้องมา - -" 

วันที่ 2 ก็ยังเป็นวันทำงานของหน่อยอยู่ ส่วนอเล็กซ์วันนี้ไปเที่ยวเกาะรัตนโกสินทร์ แต่ไม่ไปเที่ยววัดพระแก้วซะงั้น นางบอกว่าแพง ไม่เป็นไร ลางเนื้อชอบลางยา ไม่ว่ากัน เรานัดกันที่สยามค่ะ อเล็กซ์บอกชอบอาหาร street food ได้  จัดให้ เลยพาเดินรอบๆ โซนอาหารฝั่งสยามค่ะ จนนางเห็นเมี่ยงปลาเผาดูน่าสนใจ เราเลยตัดสินใจกินปลาเผากัน


นางสนใจวิธีการเผาปลามาก นางบอกว่ามันต้องมีขั้นตอนเยอะ ทำยากแน่เลย



ผักกับขนมจีนมาก่อนเลยค่ะ


ปลามาแว้ววว ลุย!!!!!

นางบอกว่ามันอร่อยมาก นางชอบจริงๆ 

อะ ได้ไอเดียกันแล้วใช่มั้ยคะ ว่านอกจากส้มตำกับผัดไทย ควรพาฝรั่งไปกินอะไรให้ไม่จำเจบ้าง

อิ่มแล้ว แกะปลาเกลี้ยงเกลาจนแมวแถวนั้นแทบจะเอาเล็บมาข่วนหน้า โทษฐานไม่เหลืออะไรให้มันกินเลย อิอิ
เราก็นั่งรถไฟฟ้ากลับคอนโดกันค่ะ กลับไปเม้าท์มอยกันต่อ นางโชว์ว่าซื้อของไปฝากหลานๆ ของนาง นางจะส่งไปรษณีย์ มีอันนึงเป็นคล้ายๆ ตุ๊กตารูปโคอาลาสีพาสเทล วางเรียงๆ กันในถุงน่ารักดี เลยบอกนางว่า " ไอไม่เห็นอันนี้ที่ออสเตรเลียเลย" "ไม่แปลก ไอซื้อที่เยาวราช" 

วันต่อมา อเล็กซ์ไม่ค่อยสบาย นางบอกว่าท้องอืดเหมือนอาหารไม่ย่อย เลยไม่ค่อยไปเที่ยวไหนนอกจากไปส่งพัสดุให้หลานๆ ของนางที่อินเดีย ตอนเย็นเรากินข้าวที่ปากซอย นางบ่นว่านางพูดกับพนักงานที่ไปรษณีย์ไม่ค่อยรู้เรื่อง อืม  มันเป็นปัญหาใหญ่ของระบบการท่องเที่ยวไทยเหมือนกันนะ ใครที่อยู่ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวลองเอาเรื่องนี้ไปคิดดูให้ดีนะคะ นางบอกว่า "แต่ยูพูดภาษาอังกฤษเก่งนะ ยูไม่ค่อยถามอะไรซ้ำๆ เลย" ในใจอยากจะบอกว่า บางทีไอก็ไม่ได้รู้เรื่องทุกอย่างหรอก แต่ไอเก็บความโง่ได้ดี ฮ่าๆ

เย็นนั้นกลับมาก็เมาท์มอยเรื่องความรัก ฮิ้วววว  มันเป็นเหตุผลหนึ่งที่หน่อยรับแต่ผู้หญิงมาค่ะ เพราะเราได้คุยเรื่องผู้หญิงกันอย่างออกรสมาก ฮี่ๆ แล้วนางก็ชวนไปบ้านนาง โดยเอาสตรอเบอรี่ชีสต์เค้กมาล่อ งั่มๆ

สำหรับ plan วันถัดมา นางบอกว่าอยากไปตลาดน้ำตลิ่งชันค่ะ เราต้องไปถึงก่อน 9.30 เพราะนางอยากนั่งเรือทัวร์ 3 ตลาดน้ำ หน่อยตื่นเช้ามาก จนอเล็กซ์ถามว่า "ยูนอนตกเตียงเหรอ" แหม อเล็กซ์ ถ้าไอตกเตียง ป่านนี้มีแผ่นดินไหวแล้ว 
อยู่ๆ นางถามว่า "ยูแพ้ครีม หรือมาสก์หน้าอะไรพวกนี้ป่าว" 
"ไม่นะ ไอไม่ค่อยแพ้อะไร" จะบอกว่าหน่อยหน้าด้านนั่นเอง - -" แล้วนางก็เอาครีมโน่นนี่มาให้ลอง

พอได้เวลา เราเรียกแท๊กซี่ตรงไปที่นั่นเลยค่ะ  พอไปถึงเราหาอาหารเช้าใส่ท้องก่อน ที่ร้าน "ณ ตลิ่งชัน" 
มีไข่กะทะเป็นเซ็ตอร่อยและราคาไม่แพงค่ะ


อเล็กซ์พร้อมหม่ำแล้วววว


กินอิ่มแล้ว ไปทัวร์ตลาดน้ำกันเต๊อะ


ต้นไม้ดอกไม้ ราคาถูกมว๊ากกก  อเล็กซ์แทบอยากจะขนกลับฝรั่งเศสกันเลยทีเดียว


สีสันสวยงาม


ไปซื้อตั๋วแล้ว รอเรือมารับ ถ่ายรูปก่อน



เรือมาแล้ว ไปเที่ยวกานนนน


วัดวาอารามมากมายแต่ดูอเล็กซ์สนใจบ้านเรือนสองฝั่งคลองมาก


ถึงตลาดน้ำคลองลัดมะยมแล้ววว ของกินเยอะมาก ของให้ชิมกันเยอะ ชิมเอาอิ่มได้เลย ที่นี่นางซื้อโมบายรูปช้าง นางชอบช้างมาก (ถึงว่าทำไมนางชอบคุยกับหน่อย - -") เจ้าของร้านก็เอาถุงกระดาษเล็กๆ ใส่มาให้ 


อีกตลาดไม่ค่อยได้ถ่ายรูปมาค่ะ ไม่ค่อยมีอะไร  พอจบทัวร์ตลาดน้ำที่ตลาดน้ำตลิ่งชัน เราหาอาหารใส่ท้องกันแล้วก็กลับคอนโด เพราะอเล็กซ์อยากไปนวด หน่อยเสนอว่าแถวคอนโดมีร้านประจำไม่แพงมาก เราจึงนั่งแท๊กซี่ไปที่ร้านแต่คิวเต็ม เราจึงต้องรออีกเกือบๆ 2 ชั่วโมง เราเลยจองเวลาไว้และไปนอนเล่น พักผ่อนที่คอนโดก่อน พอได้เวลาก็ไปนวด แต่ก็ต้องรออีกอยู่ดี  ดีว่าพี่หมอนวดนวดดีมาก นางบอกว่ายังกะสวรรค์ นางแทบจะลักพาตัวพี่คนนวดกลับฝรั่งเศสไปด้วยซะเลย --- ใจเย็นก่อนยู้วววววว

พอนวดเสร็จนางอยากซื้อของหลายอย่าง เลยพาไปเมก้าบางนา นางบอกไม่นึกว่าเมืองไทยจะมีห้างแบบนี้
แหม ประเทศไอไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อนนะยูวววว

คืนนั้นกลับมานางเมาท์มอยไป เก็บของไป เพราะพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางไปเขมรแต่เช้า
แล้วหน่อยก็แกล้งแหย่นาง
"อเล็กซ์ ยูอย่าลืมอะไรนะ ไอไม่ส่งไปรษณีย์ให้ยูแน่ๆ"
"งั้นยูก็บินมาส่งคืนที่ฝรังเศสสิ มาพร้อมลูกๆ ของยูด้วย" 

กรี๊ดดด แฟนหรือฝาละมียังหาไม่ได้เลย จะมีลูกได้ไง๊.....

"ไอว่า ไอไปฝรั่งเศสคนเดียวเพื่อเจอลูกยูดีกว่า"
เราเถียงเรื่องนี้กันขำๆ อยู่พักนึงแล้วก็แยกย้ายกันเข้านอน

เช้าตรู่พอตื่นขึ้นมา อเล็กซ์เรียกแท๊กซี่ แล้วเราก็กอดร่ำลากันที่หน้าคอนโด
นางอวยพรว่า "good night" 

คิดว่าเรื่องจะจบแค่นี้เหรอคะ

ไม่ใช่ค่ะ

หลังจากส่งอเล็กซ์แล้ว หน่อยขึ้นมางีบพักนึง แล้วก็ตื่นขึ้นมาเพราะหิว
เลยกะว่าจะกินมาม่าซะหน่อย เปิดตู้ที่ใส่ถ้วยชามแล้วก็เห็นถุงกระดาษเล็กๆ ใบหนึ่งในนั้น

เอ๊ะ นี่มันถุงกระดาษที่ใส่โมบายรูปช้างของอเล็กซ์นี่นา อเล็กซ์ลืมของเหรอ

หรือว่าฝากเราส่งไปรษณีย์  ไม่รอช้าเลยหยิบของข้างในดู ออกมาเป็นแบบนี้ค่ะ


ตุ๊กตาหมีโคอาล่าที่นางให้ดูวันนั้น กันมาสก์หน้า 
นอกจากนั้นยังมี


กระดาษโน้ตทิ้งไว้ค่ะ เนื้อหาประมาณว่ามีความสุขมากที่เราใช้เวลาร่วมกัน ของสองสิ่งเป็นตัวแทนของคำขอบคุณ
และขอให้ไปเที่ยวบ้านนางพร้อมกับลูกๆ ของเรา

แหม เห็นห้าวๆ ก๋ากั่นๆ พูดคำสบถคำ แบบนี้ นางมีมุมหวานโรแมนติกกับเค้าด้วย

ยิ้มไม่หุบเลยเรา จริงๆ ก็อยากจะขอบคุณนางและอยากจะไปบ้านนางเหมือนกันนะแต่

1. ยังไม่มีตังค์
โอเค ทำงานเก็บไปเรื่อยๆ คงพอหาได้บ้าง

2. ไม่มีลูก ไม่มีซะมี
อันนี้หายากสุดละ

เอาเป็นว่าไอคงไปคนเดียวนะ อเล็กซ์

หวังว่าเราจะได้เจอกันและเที่ยวด้วยกันอีก