หลังจากตอนที่แล้วหน่อยได้เล่าถึงการเตรียมตัวไปออสเตรเลียกันแล้ว สำหรับตอนนี้หน่อยจะเล่าตั้งแต่การเดินทางจากกรุงเทพฯ ข้ามทวีปไปที่ออสเตรเลียกันนะคะ
หมายเหตุ: อันนี้เล่าเป็นเรื่องเล็กน้อยๆ นะคะ พอเล่าถึงเรื่องทวีปออสเตรเลียก็นึกได้ว่า สมัยเรียนวิชา Fundamental English ในมหาวิทยาลัยนั้น (อย่าถามว่ากี่ปีมาแล้ว ต้องยืมนิ้วมือนิ้วเท้าใครสักคนมาช่วยนับค่ะ) มีอาจารย์ท่านนึงมาจากออสเตรเลีย เป็นผู้สอน วันนึงมีแบบฝึกหัดถามว่า ทวีปอะไรเล็กที่สุด ใครๆ ก็ตอบว่า ออสเตรเลีย แต่แกเฉลยว่ายุโรป ไอ้เราก็งง อ้าว ไม่ใช่ ออสเตรเลียเหรอ พอดีพี่ TA แกบอกว่า อาจารย์แกถือว่า ออสเตรเลียมารวมกับเอเชีย แกไม่คิดว่าออสเตรเลียเป็นทวีป ประมาณว่าแกคงไม่อยากให้ประเทศของแกอยู่ในทวีปที่เล็กที่สุดล่ะมั้ง
วันนั้นหน่อยออกจากบ้านก่อนเวลาประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าๆ เตรียมหนังสือใส่เป้ขึ้นเครื่องไป 3 เล่มกะว่าไปอ่านระหว่างรอ แล้วก็นั่งแท๊กซี่ไปสุวรรณภูมิ พอไปถึงก็งงๆ ว่าเค้าเช็คอินกันที่ไหนนะ เห็นโลโก้การบินไทยเข้าหน่อยก็เดินหลงไป ปรากฎว่าเป็น Domestic ไม่ใช่ international พอสอบถามคุณแอร์ผู้ใจดีท่านนึงแล้วก็เอาใบจองตั๋วให้ดู นางก็บอกว่า "เดี๋ยว หนูเดินไปที่ล๊อค H หรือ J นะจ๊ะ" แหม แอร์นี่ตาถึง รู้ด้วยว่าเรายังเด็กอยู่ (กินยาสลาย"มโน"หน่อยมั้ยป้า - -")
ก็ไปเช็คอินเสร็จแล้วก็เข้าตม. พอผ่านตม. มาเท่านั้นแหละ หนังสงหนังสือไม่สนใจแล้วค่าาาา ช้อปปิ้งที่ duty free เท่านั้น แวะมันทุกร้าน เช็คราคาทุกอย่างที่อยากได้ แต่ไม่ซื้อ - -" ซักพักก็หิวเลยแวะทานอาหารที่ร้าน Kin
พอได้เวลาขึ้นเครื่องแล้วก็ตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้ขึ้นเครื่องการบินไทย ก็ถือว่าประทับใจเกือบทุกอย่างนะคะ ยกเว้นคุณกัปตันทำไมไม่เปิดแอร์ให้มันแรงๆ กว่านี้ค้าาาา ผู้โดยสารร้อนค่าาา นอนไม่หลับมันเกือบทั้งคืนค่ะ กว่าจะได้นอนก็ประมาณเกือบๆ ตี 1 ของเมืองไทย พอตี 2 กว่าๆ คุณแอร์ก็ปลุกให้กินข้าวแล้ว แง่มๆ หนูอยากน้อนนนนน
แต่จริงๆ ปลุกมาก่อนก็ไม่ผิดหวังค่ะ เพราะเราได้รูปสวยๆ แบบนี้มา
เป็นครั้งแรกอีกเหมือนกันที่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นบนเครื่องบิน (ตอนไปจีนก็เกือบได้เห็นค่ะ แต่ดันหลับสนิทเลย)
และแล้วเครื่องก็มาลงที่ท่าอากาศยานซิดนีย์อย่างปลอดภัย แล้วก็เข้า ตม. ไป คราวที่แล้วที่หน่อยบอกว่า วีซ่าเค้าส่งมาทางอีเมล์ที่ให้ปริ้นท์ออกมา เค้าก็ไม่ได้ขอดูเลยนะคะ แต่พกไปเถอะเผื่อมีปัญหา แล้วก็รอรับกระเป๋าและนั่งรถไฟไปหาเพื่อนรุ่นพี่ แต่ระหว่างที่ออกมาเห็น counter ของ Vodafone ซึ่งเป็นเครือข่ายโทรศัพท์มือถือขนาดใหญ่ มีโปรโมชันน่าสนใจ เลยลองแวะไปดูค่ะ
รอนานมากกกก จริงๆ แถวไม่ได้ยาวอะไรหรอกค่ะ แต่มีคุณป้าฝรั่งคนนึงแกคุยกะพนักงานนานมากกก ชะนีรอนานก็ไม่กล้าเปลี่ยนแถว เพราะกลัวรอนานกว่าเดิม ซิมของเมืองไทยก็ดันไม่ได้โรมมิ่งซะด้วย เลยอดทนรอ จนหน่อยได้คิวต่อไปแล้ว สาวน้อยชาวเอเชียคนนึงมาสะกิด
สาวหมวย : ขอโทษนะยู ไอขอแซงคิวได้มะ ไอแค่อยากจะเอาซิมออกจากมือถือเท่านั้นเอง
ชะนียักษ์ชาวไทย : ไอว่า ไอช่วยยูได้นะ
ว่าแล้วชะนียักษ์ก็ถอดต่างหูก้านตรงมูลค่า 3 คู่ 20 บาท ที่ซื้อมาจากตลาดนัดให้สาวหมวยผู้นั้น นางก็รับไปแล้วก็เอาไปจิ้มตรงที่ใส่ซิมจนมันออกมาได้ นางก็ยิ้มดีใจใหญ่
สาวหมวย : Oh, Thank you. You're so smart.
แน่นอน ชั้นเท่มาก (smart แปลว่าฉลาดนะคะชะนี ไม่ได้แปลว่า เท่)
พอถึงคิวของหน่อย หน่อยก็บอกว่าอยากได้ซิมที่ใช้ได้แค่อาทิตย์เดียว คุณพนักงานชายชาวเอเชีย หน้าเหมือนตัวประกอบซีรีย์ Glee (นางเหมือนจริงๆ นะ) ก็แนะนำซิมที่ใช้ได้ 1 เดือน เน็ต 10 GB โทรกลับไทยได้ 90 นาที ราคา 30 เหรียญเท่านั้น ไม่รอช้า ซื้อโลดค่ะ
ได้ซิมแล้ว ติดต่อเพื่อนได้แล้ว เย่ ก็เลยดิ่งตรงไปที่ สถานีรถไฟค่ะ แต่สิ่งที่น่าเจ็บใจกว่านั้นคือ ทางเข้าสถานีมี counter ของ Vodafone อีกที่ แถมไม่มีคนอีกต่างหาก
ช่างมัน ถึงสถานีรถไฟละ อันดับแรกซื้อตั๋ว Opal ก่อน ตั๋ว Opal นี้ คล้ายๆ กับ Octopus Card ของฮ่องกง หรือ Ez-Link ของสิงคโปร์ค่ะ ที่ใช้สำหรับการเดินทางภายในรัฐ New South Wales ได้ทั้งรถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจ เจ๊ยยยย นั่นมันอาชีพของคนเจ้าชู้สมัยก่อนแล้ว เอาใหม่ รถไฟ เรือเฟอรี่ (จริงๆ ferry มันออกเสียงว่า เฟะ รี่ นะเธอ แต่คุยกะคนไทยด้วยกัน หยวนๆ ให้อ่านว่าเฟอรี่ได้) และรถเมล์ค่ะ ที่เคาท์เตอร์ตรงสนามบินเค้าให้รับบัตรเครดิตเท่านั้นค่ะ ป้ายเขียนบอกอันเบ้อเร่อ ชะนีกะเหรี่ยงจากเมืองไทยไม่ได้อ่าน จ่ายเงินสดเฉยเลย เลยต้องหน้าแตกโดนพนักงานชี้ที่ป้ายว่า "No cash" ซะงั้น อ้อ บัตรเครดิตที่นี่เค้าไม่ได้ใช้รูดนะคะ ใช้แตะเอา นั่นหมายความว่าคุณต้องมีบัตรที่มี NFC นะคะ
ได้บัตรแล้ว ก็ขึ้นรถไฟเข้าเมือง หน่อยนั่งเส้นที่ไปสถานี Central พอถึงแล้วให้ไปชานชลา 9 3/4 จะบ้าเรอะ ไม่ได้ไปฮ้อกวอตส์ ไปชานชลา 18 ค่ะ แล้วลงสถานี Strathfield ซึ่งเพื่อนจะมารับค่ะ
ป้ายตรงชานชลาในสนามบินค่ะ
พอไปถึง โผล่ผิดฝั่งซะงั้น กว่าจะเจอกันก็กินเวลาไปหลายนาทีเลย และแล้วหน่อยก็ได้เจอกับพี่สาวที่น่ารักที่หน่อยได้นัดไว้ นั่นก็คือ พี่ฟ้านั่นเอง เย้....
พี่ฟ้าเป็นเพื่อนรุ่นพี่สมัยทำงานแรกๆ เลยค่ะ เรารู้จักกันมาปีนี้ก็เป็นปีที่.... เอ่อ ข้ามไปเถอะค่ะ เล่าเรื่องเที่ยวดีกว่าเนอะ เดี๋ยวจะยาว(กลบเกลื่อนขึ้นมาทันที) พี่ฟ้าพาเดินไปที่บ้านพักที่พี่ฟ้าพักอยู่กับพี่ๆ อีก 2 คนค่ะ เป็นบ้านชั้นเดียวเล็กๆ น่ารักดีค่ะ ห่างจากสถานีรถไฟไม่มาก พอเก็บข้าวเก็บของแล้วเราสองคนก็ออกจากบ้านขึ้นรถไฟไปสถานี Circular Quay
ภาษาอังกฤษวันละคำ: วันนี้เสนอคำว่า Quay ออกเสียงว่า "คีย์" นะคะไม่ใช่ "คว...าย" (รู้นะคิดอะไรอยู่) แปลว่า ท่าเรือค่ะ
มองจากสถานี Circular Quay เราก็เริ่มเห็น Sydney Harbour Bridge แล้ว เย้ๆๆๆ
ที่มา Circular Quay ก็เพราะพี่ฟ้านัดกับคุณแม่และพี่ชายไว้ค่ะ เมื่อเจอกันแล้ว เราทั้ง 4 คน เดินถ่ายรูปเล่นที่นี่ ทั้ง สะพาน และนี่ค่ะ
Opera House
ถ้าไม่ได้ถ่าย 2 รูปนี้เหมือนไม่ได้มา Sydney เลยนะเนี่ย
พอเข้าไปใกล้ๆ อ้าว ไอ้เราก็นึกว่าหลังคา Opera House เป็นสีขาวจริงๆ ที่ไหนได้ คุณหลอกดาว!!!!! หลังคาเป็นกระเบื้องสีออกครีมๆ ค่ะ
ปัจจุบันก็ยังมีการแสดงมหรสพข้างในอยู่นะคะ มีร้านอาหาร ร้านกาแฟข้างในด้วย
คุณแม่บอกว่า เคยเห็นแมวน้ำแถวๆ opera house ด้วย ให้พี่ฟ้าพาหน่อยไปเดินดู เราสองคนหาอยู่นานก็หาไม่เจอ เลยถามคุณ รปภ แถวนั้นว่าเคยเห็นมั้ย นางตอบว่านางไม่เห็นนานแล้ว ไม่รู้ว่าอพยพไปที่อื่นหรือถูกฉลามกินไปแล้วรึเปล่า โอ้ว ไม่นะ ขออย่าให้เป็นอย่างหลังนะ
เมื่อเราเดินชม Opera House กันจนเต็มที่แล้ว สถานที่ต่อไปอยู่ไม่ไกลกันนัก เป็นสวนสาธารณะชื่อว่า Botanic Garden ค่ะ ซึ่งสวนนี้มีอายุครบรอบ 200 ปีในปี้นี้ด้วยค่ะ
มีรถไฟนำเที่ยวด้วย น่ารักมาก ค่าตั๋วเท่าไรจำไม่ได้ละ
หญ้าที่นี่เหยียบลงไปนุ่มมากๆ อยากนอนเกลือกกลิ้งกันเลยทีเดียว
ออกมาจากสวนก็มีอนุสาวรีย์อะไรก็ไม่รู้สวยดี
สถานที่ต่อไปที่ไกด์ของเราจะพาไปคือ The Rocks ค่ะ เป็นตลาด คล้ายๆ ตลาดนัดตอนกลางวันข้างๆ ตึกออฟฟิศในกรุงเทพฯ ค่ะ มีของขายเก๋ๆ หลายอย่าง มีทั้งของ handmade เสื้อผ้า อาหาร ทุกร้านพร้อมใจให้ชิมกันถ้วนหน้า แค่มาเดินรอบตลาดก็อิ่มแล้วค่ะ
พอเดินทัวร์ The Rocks จนชิมของจนครบแล้ว เราก็กลับไปตรง Circular Quay เพื่อจะขึ้นรถไฟไปสถานี Town Hall ซึ่งเป็นย่านช้อปปิ้ง มีทั้งร้านค้าใน Queen Victoria Building มีห้าง Myer และ David Jones สำหรับวันนี้เรามาช้อปปิ้งกันที่ Myer ค่ะ ช่วงนี้เป็นช่วง End Season Sale ข้าวของต่างๆ พร้อมใจกันลดราคากัน เรียกว่าลดแล้วลดอีกค่ะ แต่วันนี้ยังค่ะ หน่อยยังไม่ได้อะไร ส่วนวันอื่นไม่รู้ค่ะ รอติดตามตอนต่อๆ ไปว่าหน่อยจะหมดตังค์ไปกับอะไรบ้าง
พอช้อปปิ้งกันจนห้างปิดแล้ว อ้อ ลืมบอกไป ห้างที่นี่ปิดเวลาหนึ่งทุ่มโดยประมาณนะคะ ยกเว้นวันพฤหัสและศุกร์อาจจะปิดดึกกว่านั้นนิดหน่อยเป็นสองทุ่มสามทุ่มแล้วแต่ห้างค่ะ พอมืดก็ได้เวลาอาหาร เราตกลงกันว่ากลับไปที่ Strathfield เพื่อจะไปทานอาหารเกาหลีกันค่ะ ซึ่งย่านนี้อุดมไปด้วยชาวเกาหลีซะส่วนใหญ่ ร้านอาหารเกาหลีก็ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดเลย วันนี้เราฝากท้องไว้กับร้านชื่อ Beauty and The Beast ค่ะ
ร้านนี้ขายเป็นอาหารเซ็ตค่ะ อันนี้ชื่อว่า Spicy Seafood มั้ง ถ้าจำไม่ผิดนะ กุ้ง หอย ปู ปลามาเต็ม จานใหญ่มากกกก กิน 4 คนไม่หมด ลืมถ่ายมาว่าอาหารเซ็ตนี้มีอีกจานคล้ายไข่เจียวจานใหญ่ แล้วก็ Mashed Potato, กิมจิ สาหร่ายทะเล และเครื่องเคียงสไตล์เกาหลีอื่นๆ อีกค่ะ อร่อยนะ แต่กินกันไม่หมด เลยห่อกลับบ้าน ร้านอาหารที่นี่ถ้าจะขอห่ออาหารที่เหลือกลับบ้านต้องขอกล่องของทางร้านมาตักเองนะคะ เดี๋ยวจะงงว่าทำไมเด็กเสิร์ฟไม่ตักให้
อิ่มแล้ว เดินกลับบ้าน อาบน้ำนอน
จบวันแรกของทริปชะนียักษ์เดินทางข้ามทวีปแล้วค่ะ
วันที่ 2 จะเป็นอย่างไร ติดตามอาทิตย์หน้าค่ะ
วันนี้ไปละ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ จุ๊บๆ