Sunday, April 24, 2016

สะพายกล้อง...ท่องแดนจิงโจ้ : ตอนที่ 1 ได้เวลา บินลัดฟ้า ไปหลั่นล้า ณ แลนด์มาร์ค ( A Traveler of Oz : Ep.1 Landmarks)



สวัสดีผู้อ่านที่น่ารักทุกท่านค่ะ

หลังจากตอนที่แล้วหน่อยได้เล่าถึงการเตรียมตัวไปออสเตรเลียกันแล้ว สำหรับตอนนี้หน่อยจะเล่าตั้งแต่การเดินทางจากกรุงเทพฯ ข้ามทวีปไปที่ออสเตรเลียกันนะคะ 

หมายเหตุ: อันนี้เล่าเป็นเรื่องเล็กน้อยๆ นะคะ พอเล่าถึงเรื่องทวีปออสเตรเลียก็นึกได้ว่า สมัยเรียนวิชา Fundamental English ในมหาวิทยาลัยนั้น (อย่าถามว่ากี่ปีมาแล้ว ต้องยืมนิ้วมือนิ้วเท้าใครสักคนมาช่วยนับค่ะ) มีอาจารย์ท่านนึงมาจากออสเตรเลีย เป็นผู้สอน วันนึงมีแบบฝึกหัดถามว่า ทวีปอะไรเล็กที่สุด ใครๆ ก็ตอบว่า ออสเตรเลีย แต่แกเฉลยว่ายุโรป ไอ้เราก็งง อ้าว ไม่ใช่ ออสเตรเลียเหรอ พอดีพี่ TA แกบอกว่า อาจารย์แกถือว่า ออสเตรเลียมารวมกับเอเชีย แกไม่คิดว่าออสเตรเลียเป็นทวีป ประมาณว่าแกคงไม่อยากให้ประเทศของแกอยู่ในทวีปที่เล็กที่สุดล่ะมั้ง  

วันนั้นหน่อยออกจากบ้านก่อนเวลาประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าๆ เตรียมหนังสือใส่เป้ขึ้นเครื่องไป 3 เล่มกะว่าไปอ่านระหว่างรอ แล้วก็นั่งแท๊กซี่ไปสุวรรณภูมิ พอไปถึงก็งงๆ ว่าเค้าเช็คอินกันที่ไหนนะ เห็นโลโก้การบินไทยเข้าหน่อยก็เดินหลงไป ปรากฎว่าเป็น Domestic ไม่ใช่ international พอสอบถามคุณแอร์ผู้ใจดีท่านนึงแล้วก็เอาใบจองตั๋วให้ดู นางก็บอกว่า "เดี๋ยว หนูเดินไปที่ล๊อค H หรือ J นะจ๊ะ" แหม แอร์นี่ตาถึง รู้ด้วยว่าเรายังเด็กอยู่ (กินยาสลาย"มโน"หน่อยมั้ยป้า - -") 






ก็ไปเช็คอินเสร็จแล้วก็เข้าตม. พอผ่านตม. มาเท่านั้นแหละ หนังสงหนังสือไม่สนใจแล้วค่าาาา  ช้อปปิ้งที่ duty free เท่านั้น แวะมันทุกร้าน เช็คราคาทุกอย่างที่อยากได้ แต่ไม่ซื้อ - -" ซักพักก็หิวเลยแวะทานอาหารที่ร้าน Kin 



พอได้เวลาขึ้นเครื่องแล้วก็ตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้ขึ้นเครื่องการบินไทย ก็ถือว่าประทับใจเกือบทุกอย่างนะคะ ยกเว้นคุณกัปตันทำไมไม่เปิดแอร์ให้มันแรงๆ กว่านี้ค้าาาา ผู้โดยสารร้อนค่าาา นอนไม่หลับมันเกือบทั้งคืนค่ะ  กว่าจะได้นอนก็ประมาณเกือบๆ ตี 1 ของเมืองไทย พอตี 2 กว่าๆ คุณแอร์ก็ปลุกให้กินข้าวแล้ว แง่มๆ หนูอยากน้อนนนนน  



แต่จริงๆ ปลุกมาก่อนก็ไม่ผิดหวังค่ะ เพราะเราได้รูปสวยๆ แบบนี้มา


ขออภัยด้วยนะคะที่ภาพไม่ชัด แถมติดเงายัยป้าที่ไหนก็ไม่รู้มาด้วย - -" (แต่หน้าคุ้นๆ นะ)

เป็นครั้งแรกอีกเหมือนกันที่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นบนเครื่องบิน (ตอนไปจีนก็เกือบได้เห็นค่ะ แต่ดันหลับสนิทเลย)
และแล้วเครื่องก็มาลงที่ท่าอากาศยานซิดนีย์อย่างปลอดภัย แล้วก็เข้า ตม. ไป คราวที่แล้วที่หน่อยบอกว่า วีซ่าเค้าส่งมาทางอีเมล์ที่ให้ปริ้นท์ออกมา เค้าก็ไม่ได้ขอดูเลยนะคะ แต่พกไปเถอะเผื่อมีปัญหา  แล้วก็รอรับกระเป๋าและนั่งรถไฟไปหาเพื่อนรุ่นพี่ แต่ระหว่างที่ออกมาเห็น counter ของ Vodafone ซึ่งเป็นเครือข่ายโทรศัพท์มือถือขนาดใหญ่ มีโปรโมชันน่าสนใจ เลยลองแวะไปดูค่ะ


รอนานมากกกก จริงๆ แถวไม่ได้ยาวอะไรหรอกค่ะ แต่มีคุณป้าฝรั่งคนนึงแกคุยกะพนักงานนานมากกก ชะนีรอนานก็ไม่กล้าเปลี่ยนแถว เพราะกลัวรอนานกว่าเดิม ซิมของเมืองไทยก็ดันไม่ได้โรมมิ่งซะด้วย เลยอดทนรอ  จนหน่อยได้คิวต่อไปแล้ว สาวน้อยชาวเอเชียคนนึงมาสะกิด

สาวหมวย : ขอโทษนะยู ไอขอแซงคิวได้มะ ไอแค่อยากจะเอาซิมออกจากมือถือเท่านั้นเอง
ชะนียักษ์ชาวไทย : ไอว่า ไอช่วยยูได้นะ
ว่าแล้วชะนียักษ์ก็ถอดต่างหูก้านตรงมูลค่า 3 คู่ 20 บาท ที่ซื้อมาจากตลาดนัดให้สาวหมวยผู้นั้น นางก็รับไปแล้วก็เอาไปจิ้มตรงที่ใส่ซิมจนมันออกมาได้ นางก็ยิ้มดีใจใหญ่
สาวหมวย : Oh, Thank you. You're so smart.
แน่นอน ชั้นเท่มาก (smart แปลว่าฉลาดนะคะชะนี ไม่ได้แปลว่า เท่)

พอถึงคิวของหน่อย หน่อยก็บอกว่าอยากได้ซิมที่ใช้ได้แค่อาทิตย์เดียว คุณพนักงานชายชาวเอเชีย หน้าเหมือนตัวประกอบซีรีย์ Glee (นางเหมือนจริงๆ นะ) ก็แนะนำซิมที่ใช้ได้ 1 เดือน เน็ต 10 GB โทรกลับไทยได้ 90 นาที ราคา 30 เหรียญเท่านั้น ไม่รอช้า ซื้อโลดค่ะ

ได้ซิมแล้ว ติดต่อเพื่อนได้แล้ว เย่  ก็เลยดิ่งตรงไปที่ สถานีรถไฟค่ะ แต่สิ่งที่น่าเจ็บใจกว่านั้นคือ ทางเข้าสถานีมี counter ของ Vodafone อีกที่ แถมไม่มีคนอีกต่างหาก

ช่างมัน ถึงสถานีรถไฟละ อันดับแรกซื้อตั๋ว Opal ก่อน ตั๋ว Opal นี้ คล้ายๆ กับ Octopus Card ของฮ่องกง หรือ Ez-Link ของสิงคโปร์ค่ะ ที่ใช้สำหรับการเดินทางภายในรัฐ New South Wales ได้ทั้งรถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจ เจ๊ยยยย นั่นมันอาชีพของคนเจ้าชู้สมัยก่อนแล้ว เอาใหม่ รถไฟ เรือเฟอรี่ (จริงๆ ferry มันออกเสียงว่า เฟะ รี่ นะเธอ แต่คุยกะคนไทยด้วยกัน หยวนๆ ให้อ่านว่าเฟอรี่ได้) และรถเมล์ค่ะ ที่เคาท์เตอร์ตรงสนามบินเค้าให้รับบัตรเครดิตเท่านั้นค่ะ ป้ายเขียนบอกอันเบ้อเร่อ ชะนีกะเหรี่ยงจากเมืองไทยไม่ได้อ่าน จ่ายเงินสดเฉยเลย เลยต้องหน้าแตกโดนพนักงานชี้ที่ป้ายว่า "No cash" ซะงั้น อ้อ บัตรเครดิตที่นี่เค้าไม่ได้ใช้รูดนะคะ ใช้แตะเอา นั่นหมายความว่าคุณต้องมีบัตรที่มี NFC นะคะ 

ได้บัตรแล้ว ก็ขึ้นรถไฟเข้าเมือง หน่อยนั่งเส้นที่ไปสถานี Central พอถึงแล้วให้ไปชานชลา 9 3/4  จะบ้าเรอะ ไม่ได้ไปฮ้อกวอตส์  ไปชานชลา 18 ค่ะ แล้วลงสถานี Strathfield ซึ่งเพื่อนจะมารับค่ะ


ป้ายตรงชานชลาในสนามบินค่ะ


ทุกชานชลาจะมีมอนิเตอร์บอกว่ารถไฟขบวนที่กำลังจะมาถึงไปสถานีไหนบ้าง และจะมาถึงภายในกี่นาทีค่ะ



ขบวนรถไฟฝั่งตรงข้าม


ถึง Strathfield แล้ว เย่...


 
รางรถไฟของที่นี่ค่ะ

พอไปถึง โผล่ผิดฝั่งซะงั้น กว่าจะเจอกันก็กินเวลาไปหลายนาทีเลย และแล้วหน่อยก็ได้เจอกับพี่สาวที่น่ารักที่หน่อยได้นัดไว้ นั่นก็คือ พี่ฟ้านั่นเอง เย้....

พี่ฟ้าเป็นเพื่อนรุ่นพี่สมัยทำงานแรกๆ เลยค่ะ เรารู้จักกันมาปีนี้ก็เป็นปีที่.... เอ่อ ข้ามไปเถอะค่ะ เล่าเรื่องเที่ยวดีกว่าเนอะ เดี๋ยวจะยาว(กลบเกลื่อนขึ้นมาทันที) พี่ฟ้าพาเดินไปที่บ้านพักที่พี่ฟ้าพักอยู่กับพี่ๆ อีก 2 คนค่ะ เป็นบ้านชั้นเดียวเล็กๆ น่ารักดีค่ะ ห่างจากสถานีรถไฟไม่มาก พอเก็บข้าวเก็บของแล้วเราสองคนก็ออกจากบ้านขึ้นรถไฟไปสถานี Circular Quay 

ภาษาอังกฤษวันละคำ: วันนี้เสนอคำว่า Quay ออกเสียงว่า "คีย์" นะคะไม่ใช่ "คว...าย"  (รู้นะคิดอะไรอยู่) แปลว่า ท่าเรือค่ะ 

มองจากสถานี Circular Quay เราก็เริ่มเห็น Sydney Harbour Bridge แล้ว เย้ๆๆๆ 



ที่มา Circular Quay ก็เพราะพี่ฟ้านัดกับคุณแม่และพี่ชายไว้ค่ะ เมื่อเจอกันแล้ว เราทั้ง 4 คน เดินถ่ายรูปเล่นที่นี่ ทั้ง สะพาน และนี่ค่ะ


Opera House

ถ้าไม่ได้ถ่าย 2 รูปนี้เหมือนไม่ได้มา Sydney เลยนะเนี่ย

พอเข้าไปใกล้ๆ อ้าว ไอ้เราก็นึกว่าหลังคา Opera House เป็นสีขาวจริงๆ ที่ไหนได้ คุณหลอกดาว!!!!! หลังคาเป็นกระเบื้องสีออกครีมๆ ค่ะ  


ปัจจุบันก็ยังมีการแสดงมหรสพข้างในอยู่นะคะ มีร้านอาหาร ร้านกาแฟข้างในด้วย

คุณแม่บอกว่า เคยเห็นแมวน้ำแถวๆ opera house ด้วย ให้พี่ฟ้าพาหน่อยไปเดินดู เราสองคนหาอยู่นานก็หาไม่เจอ เลยถามคุณ รปภ แถวนั้นว่าเคยเห็นมั้ย นางตอบว่านางไม่เห็นนานแล้ว ไม่รู้ว่าอพยพไปที่อื่นหรือถูกฉลามกินไปแล้วรึเปล่า โอ้ว ไม่นะ ขออย่าให้เป็นอย่างหลังนะ

เมื่อเราเดินชม Opera House กันจนเต็มที่แล้ว สถานที่ต่อไปอยู่ไม่ไกลกันนัก เป็นสวนสาธารณะชื่อว่า Botanic Garden ค่ะ ซึ่งสวนนี้มีอายุครบรอบ 200 ปีในปี้นี้ด้วยค่ะ


ถ่ายจากตรง Opera House ค่ะ

ครบ 200 ปีแล้วจ้า (ไม่ใช่อายุคนเขียนนะ)

บรรยากาศดี น่ามาวิ่งนะ


มีรถไฟนำเที่ยวด้วย น่ารักมาก ค่าตั๋วเท่าไรจำไม่ได้ละ





หญ้าที่นี่เหยียบลงไปนุ่มมากๆ อยากนอนเกลือกกลิ้งกันเลยทีเดียว


ออกมาจากสวนก็มีอนุสาวรีย์อะไรก็ไม่รู้สวยดี

สถานที่ต่อไปที่ไกด์ของเราจะพาไปคือ The Rocks ค่ะ เป็นตลาด คล้ายๆ ตลาดนัดตอนกลางวันข้างๆ ตึกออฟฟิศในกรุงเทพฯ ค่ะ มีของขายเก๋ๆ หลายอย่าง มีทั้งของ handmade เสื้อผ้า อาหาร ทุกร้านพร้อมใจให้ชิมกันถ้วนหน้า แค่มาเดินรอบตลาดก็อิ่มแล้วค่ะ



พอเดินทัวร์ The Rocks จนชิมของจนครบแล้ว เราก็กลับไปตรง Circular Quay เพื่อจะขึ้นรถไฟไปสถานี Town Hall ซึ่งเป็นย่านช้อปปิ้ง มีทั้งร้านค้าใน Queen Victoria Building มีห้าง Myer และ David Jones สำหรับวันนี้เรามาช้อปปิ้งกันที่ Myer ค่ะ ช่วงนี้เป็นช่วง End Season Sale ข้าวของต่างๆ พร้อมใจกันลดราคากัน เรียกว่าลดแล้วลดอีกค่ะ แต่วันนี้ยังค่ะ หน่อยยังไม่ได้อะไร ส่วนวันอื่นไม่รู้ค่ะ รอติดตามตอนต่อๆ ไปว่าหน่อยจะหมดตังค์ไปกับอะไรบ้าง

พอช้อปปิ้งกันจนห้างปิดแล้ว อ้อ ลืมบอกไป ห้างที่นี่ปิดเวลาหนึ่งทุ่มโดยประมาณนะคะ ยกเว้นวันพฤหัสและศุกร์อาจจะปิดดึกกว่านั้นนิดหน่อยเป็นสองทุ่มสามทุ่มแล้วแต่ห้างค่ะ  พอมืดก็ได้เวลาอาหาร เราตกลงกันว่ากลับไปที่ Strathfield เพื่อจะไปทานอาหารเกาหลีกันค่ะ ซึ่งย่านนี้อุดมไปด้วยชาวเกาหลีซะส่วนใหญ่ ร้านอาหารเกาหลีก็ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดเลย วันนี้เราฝากท้องไว้กับร้านชื่อ Beauty and The Beast  ค่ะ


ร้านนี้ขายเป็นอาหารเซ็ตค่ะ อันนี้ชื่อว่า Spicy Seafood มั้ง ถ้าจำไม่ผิดนะ กุ้ง หอย ปู ปลามาเต็ม จานใหญ่มากกกก กิน 4 คนไม่หมด ลืมถ่ายมาว่าอาหารเซ็ตนี้มีอีกจานคล้ายไข่เจียวจานใหญ่ แล้วก็ Mashed Potato, กิมจิ สาหร่ายทะเล และเครื่องเคียงสไตล์เกาหลีอื่นๆ อีกค่ะ อร่อยนะ แต่กินกันไม่หมด เลยห่อกลับบ้าน ร้านอาหารที่นี่ถ้าจะขอห่ออาหารที่เหลือกลับบ้านต้องขอกล่องของทางร้านมาตักเองนะคะ เดี๋ยวจะงงว่าทำไมเด็กเสิร์ฟไม่ตักให้

อิ่มแล้ว เดินกลับบ้าน อาบน้ำนอน 
จบวันแรกของทริปชะนียักษ์เดินทางข้ามทวีปแล้วค่ะ

วันที่ 2 จะเป็นอย่างไร ติดตามอาทิตย์หน้าค่ะ

วันนี้ไปละ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ จุ๊บๆ















Sunday, April 17, 2016

สะพายกล้อง...ท่องแดนจิงโจ้ : ตอนที่ 0 เตรียมตัว เตรียมใจ ไปตามหาจิงโจ้และโคอาล่า (A Traveler of Oz: Ep.0 Preparation)



กราบสวัสดีมิตรรักผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน

ใครที่ตาม facebook หรือ instagram ของหน่อยก็น่าจะทราบแล้วว่าช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาหน่อยหลบร้อน ไปเริงร่าท้าอากาศเย็น (รวมทั้งแดดและฝน) ที่ เมือง sydney ประเทศออสเตรเลียมา

วันนี้จะมาเกริ่นถึงที่มาที่ไปของทริปนี้กันก่อนนะคะ

ที่มาก็คือว่า เพื่อนรุ่นพี่ที่น่ารักของดิชั้นคนหนึ่งได้ไปทำงานที่ sydney หลายปีแล้ว
เพื่อนๆ สาวๆ ในกลุ่มของเราก็ผลัดกันไปเที่ยวที่นั่นกันเกือบทุกคน ยกเว้น ดิชั้น

ปีที่แล้วดิชั้นเลยดูฤกษ์งามยามดีที่จะจองตั๋วของการบินไทย รักคุณเท่าฟ้า (สโลแกนมาเต็ม) ล่วงหน้าเกือบปี
จริงๆ ก็ไม่ได้ดูฤกษ์อะไรหรอกค่ะ แค่จองล่วงหน้าตั๋วจะถูกดี แล้วเราสามารถ plan อะไรได้ล่วงหน้ามากขึ้นน่ะค่ะ
ราคาตั๋วประมาณ 23xxx บาท ซึ่งถือว่าถูกมากค่ะ 

หลังจากได้ตั๋วอิเล็กทรอนิกมาประดับ inbox ให้อุ่นใจแล้ว เมื่อเดือน กุมภาที่ผ่านมา ก็ทำเรื่องขอวีซ่าท่องเที่ยว ออสเตรเลียมา ขอไม่ยากเลยค่ะ แค่ทำตามกระทู้นี้ คนไม่เข้าใจภาษาอังกฤษยังทำตามได้เลยค่ะ



เอกสารที่ต้องเตรียมคร่าวๆ ในกรณีของหน่อยที่ไปพักบ้านเพื่อนและหน่อยก็มีการมีงานทำเป็นหลักแหล่งนะคะ ซึ่งเอกสารทั้งหมดหน่อยถ่ายรูปแล้ว attach ไปในเว็บค่ะ

1. บัตรประชาชน
2. passport ถ่ายรูปหน้าที่มีข้อมูลส่วนตัวของเราค่ะ
3. statement ย้อนหลัง 6 เดือน (ซึ่งตอนนั้นมีเงินเหลือน้อยนิด)
4. ใบรับรองสถานะทางการเงิน อันนี้ให้ธนาคารที่มีบัญชีเงินเดือนอยู่ออกให้ค่ะ
5. จดหมายเชิญจากเพื่อนที่เราจะไปพักด้วย ให้เค้าเขียนอีเมลล์มาค่ะ format ไปsearch ใน google เอานะคะ
6. สัญญาการทำงาน หมายถึง สัญญาการจ้างงานของที่ทำงานปัจจุบันค่ะ
7. จดหมายรับรองจากบริษัท ว่าเราจะลางานวันที่เท่าไร กลับมาทำงานวันที่เท่าไร ขอได้ที่ฝ่ายบุคคลของบริษัทค่ะ
8. บัตรเครดิต เอาไว้จ่ายค่าวีซ่าค่ะ (ไม่ต้องถ่ายรูปนะคะ เตรียมจ่ายอย่างเดียวค่ะ) ค่าวีซ่าประมาณ 140 กว่าๆ ดอลล่าร์ ออสเตรเลียค่ะ

อาจจะดูเยอะ แต่ก็ไม่ยากค่ะ ก็ไปขอจากที่ต่างๆ แล้วก็ถ่ายรูป แนบไป ไม่ต้องไปสัมภาษณ์อะไรให้ยุ่งยากเลย ง๊ายยยง่าย

ประมาณอาทิตย์กว่าๆ ก็ได้มาแล้ว  เค้าจะส่งมาทาง อีเมล์ค่ะ ก็ปรินท์เก็บไว้ ของหน่อยได้เป็นวีซ่า multiple 1 ปีค่ะ คือใน 1 ปีต่อจากนี้จะเข้าออกที่โน่นกี่ครั้งก็ได้ แต่พำนักอยู่ได้ครั้งละไม่เกิน 90 วัน

พอได้ตั๋วแล้ว ได้วีซ่าแล้ว สิ่งสำคัญที่ต้องเตรียมอีกอย่างก็คือ... เงินค่ะ
เอาตังค์ไปเท่าไรดีนะ



ก่อนอื่น แนะนำค่าเงินที่โน่นมีหน่วยเป็น ดอลล่าร์ออสเตรเลีย หรือ AUD ค่ะ
ตอนที่หน่อยแลกเงินก่อนไป 1 ดอลล่าร์ = 26.8 บาทค่ะ

โชคดีว่า เพื่อนที่ไปพักด้วยเค้าเตรียมทั้งข้าวเช้าและเย็นไว้ให้ค่ะ ประหยัดไปได้มากโขเลย
อาหารที่โน่น ถ้ากินอาหารง่ายๆ อย่างแซนด์วิช ครัวซอง เบอร์เกอร์ก็ไม่เกิน 10 เหรียญ ค่ะ
ถ้าเป็นข้าวหรือสเต็กก็มื้อละ 15-30 เหรียญ แล้วแต่ความหรูของร้าน แนะนำว่าให้เตรียมขวดน้ำเปล่าๆ ไปด้วย เผื่อเดินไกล ก็กรอกน้ำประปาจากที่พักไปดื่มได้ (น้ำประปาที่โน่นดื่มได้จริงๆ นะ) และตามทางก็มีจุดกรอกน้ำประปาด้วย

การเดินทางของที่ซิดนีย์ สะดวกมากค่ะ มีทั้งรถเมล์ รถไฟและเรือ ferry ใช้บัตร opal ได้ทั้งหมดเลย
และบัตรนี้ก็มีโปรโมชันด้วยนะคะ ถ้าอาทิตย์นี้นั่งเกิน 8 ครั้งแล้ว ครั้งต่อไปนั่งฟรีค่ะ  ค่าโดยสารรถไฟเที่ยวละประมาณ 2-5 เหรียญ (แต่ถ้านั่งไปสนามบินจะประมาณ 13-14 เหรียญนะ) เรือครั้งละไม่ถึงเหรียญ (ถูกเวอร์) รถเมล์นี่ไม่ทราบค่ะ เพราะมานั่งวันท้ายๆ ที่นั่งเกิน 8 เที่ยวไปแล้ว เลยได้นั่งฟรี อิอิ

ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์หรือสวนสัตว์ต่างๆ ประมาณ 20 - 50 เหรียญค่ะ ลองไปเช็คราคาในเว็บเอา

แนะนำนิดนึง ว่าให้โหลด app แผนที่ offline อย่าง triposo หรือถ้าตั้งใจจะใช้ internet บนมือถือที่โน่น google map ถือเป็นแอพที่บอกเส้นทางได้แม่นยำค่ะ

เรื่องช้อปปิ้งก็ตามอัธยาศัยค่ะ ถ้าใช้บัตรเครดิตกรุณาเช็คเรทก่อนรูดนะ
ในกรณีของหน่อย ไป 7 วัน จ่ายแค่ค่าข้าวกลางวันกับค่าเดินทางค่าสถานที่พกไปซัก 500 เหรียญก็น่าจะพอค่ะ
(แต่จริงๆ มันไม่ใช่น่ะสิ แม่คุณเล่นไปช้อปปิ้งทุกวัน 500 ไม่พอหรอกค่าาาา)

อากาศ ช่วงนี้(กลางๆ เมษา)เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว อากาศเริ่มจะเย็น ประมาณ 14 - 27 องศา บางวันก็มี 3 ฤดูใน 1 วันเลย ทั้งลมแรง แดดจ้า ฝนตก(นี่มันอากาศหรือผู้หญิงช่วงวันนั้นของเดือนวะเนี่ย แปรปรวนชะมัด) แนะนำให้สะพายเป้ใบเล็กๆ ที่จุได้ทั้งเสื้อแจ็คเก็ต ผ้าพันคอบางๆ ร่มและแว่นกันแดด อ้อ ครีมกันแดดก็จำเป็นมาก เพราะโอโซนที่นี่เบาบางกว่าที่อื่นๆ จะทำให้เป็นมะเร็งผิวหนังได้นะก๊ะ อย่าหาว่าคนสวย(เหรอ?) ไม่เตือน ก่อนออกมาจากที่พักเช็คสภาพอากาศอย่างละเอียดได้ที่ เว็บไซต์ www.weatherzone.com.au ค่ะ พยากรณ์ได้แม่นยำมากค่ะ

มาๆ มาจัดกระเป๋ากัน คิดจะเอามาม่าไปทานใช่มั้ยคะ ขอบอกว่าอย่านะคะ เพราะเป็นหนึ่งในของที่ห้ามนำเข้าประเทศ  สิ่งที่ห้ามนำเข้าออสเตรเลียมี ดังนี้

  • นก ขนนก และผลิตภัณฑ์จากสัตว์,สัตว์ปีก
  • เมล็ดพืช ผลิตภัณฑ์จากพืช์ และถั่วตากแห้ง
  • ผลิตภัณฑ์จากนม,ชากาแฟและเครื่องดื่มอื่นๆที่มีนมเป็นส่วนประกอบ
  • ผัก และผลไม้สด (ผักผลไม้แห้งต้องได้รับการบรรจุหีบห่อเพื่อการค้า)
  • น้ำผึ้ง และผลิตภัณฑ์จากผึ้ง
  • พืช แมลง สัตว์ที่มีชีวิต ,อุปกรณ์ใช้แล้วที่ใช้กับสัตว์
  • เนื้อและผลิตภัณฑ์จากเนื้อ (ทั้งสดและแห้ง) รวมถึงหมูกระป๋อง
  • ปลา,ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลอื่นๆ (สดและแห้ง)
  • อาหารต่างๆที่สุก,ดิบ,รับประทานเล่น,ส่วนผสมของอาหาร และขนมต่างๆ
  • ผลิตภัณฑ์ยา,สมุนไพร
  • ดินและทราย
  • ฟาง และหญ้าแห้ง และเครื่องประดับที่ทำจากฟาง
  • อุปกรณ์กีฬาและอุปกรณ์ออกค่ายที่ใช้แล้ว
ถ้ามีสิ่งของตามรายชื่อข้างบนนี้ ต้อง declare ให้ทราบก่อนนะคะ ถ้าตรวจเจอโดยที่ไม่ได้ declare ติดคุกที่โน่นไม่รู้นะเออ

มาถึงเรื่องปลั๊กไฟกันบ้าง ปลั๊กไฟที่ออสเตรเลียหน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ


ทางที่ดี ถ้าต้องเดินทางบ่อยๆ ไปหลายๆ ประเทศ หน่อยเลือกที่จะซื้อ universal adapter ไปเลยดีกว่า ไม่ต้องไปซื้อ adapter บ่อยๆ หาซื้อได้ที่ home pro นะคะ



                                                            ด้านหลัง


                                                           ด้านหน้า

จัดกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เตรียมไปเที่ยวกันเถอะ เย้....
ติดตามตอนต่อไปนะคะ ว่าวันแรกใน Sydney หน่อยจะเจอกับอะไรบ้าง
แล้วเจอกัน Ep1 ค่ะ

รักคนอ่านนะคะ จุ๊บๆ








Friday, April 1, 2016

วันขี้เกียจๆ ที่ The Lazy River House



สวัสดีผู้อ่านที่น่ารักทุกท่านนะคะ

หายหน้าหายตากันไปนาน คิดถึงหน่อยกันมั้ย 
(เอ๊ะ ทำไมเงียบๆ บางคนก็ส่ายหน้า บางคนก็คว่ำปาก บางคนก็โห่)

ไม่คิดถึงไม่เป็นไร เข้ามาอ่านหน่อยก็ดีใจแล้วค่ะ

วันนี้หน่อยจะมารีวิวบ้านพักที่น่ารักแห่งหนึ่งในใกล้ๆ กรุงเทพฯ นะคะ (จะมาแห่งหนึ่งทำไม ชื่อ blog ก็บอกแล้วว่า The Lazy River House)

เนื่องจากเพื่อน(และพี่สาว) ที่น่ารักของเรากลับมาเยี่ยมเมืองไทย เราจึงจัดทริปเล็กๆ ค้างคืน 1 คืน และหาสถานที่ใกล้ๆ กรุงเทพฯ เพื่อที่จะใช้เวลาร่วมกันในโอกาสนี้

และ The Lazy River House คือที่พักของเราค่ะ

หลังจากที่เราได้จองบ้านไปแล้ว พี่ชาเจ้าของบ้านได้ส่งอีเมล์มา ความยาวประมาณ 3 หน้ากระดาษ A4 เนื้อหาใจความในอีเมล์นั้นบอกถึงข้อตกลงและข้อแนะนำในการเข้ามาพักที่นี่ ตั้งแต่สิ่งอำนวยความสะดวกในบ้าน วิธีการเดินทาง รวมไปถึงร้านอาหารอร่อยรอบๆ บ้านพัก 

พอถึงวันเดินทาง เราไปถึงก่อนเวลาเช็คอินเล็กน้อย ซึ่งตัวบ้านพักยังทำความสะอาดไม่เรียบร้อย พี่ชาแนะนำให้เราไปนั่งเล่นที่ศาลาริมน้ำก่อน 




บรรยากาศที่ศาลาริมน้ำดีมากค่ะ ลมโกรกเย็นสบาย พวกเรานอนเล่นกันตรงนี้ (คนอื่นนอนเล่นเฉยๆ ของหน่อยน่าจะเรียกว่านอนผึ่งพุงมากกว่า) สักพักพี่ชาก็เดินมาบอกว่า "ตามสบายนะครับ" นี่ก็สบายมากแล้วค่ะ

ไม่นานบ้าน The Lazy River House ก็พร้อมต้อนรับเราค่ะ 


ตรงนี้ทางขึ้นบ้าน


มีเจ้าถิ่นมาต้อนรับเราด้วย นางน่ารักมาก ไม่เห่า ไม่กัด นั่งยิ้มอยู่ตรงนี้ตลอดเวลา (นั่นมันรูปปั้นว้อย)


เข้ามาในบ้าน ก็มีน้องเหมียว 2 นางมาต้อนรับ

มาดูรอบๆ บ้านกันบ้าง


รูปนี้เบลอมาก เพราะลืมเอามาโครออก แต่ถึงเบลอยังไงก็เบลอว่ารักแถบนะคะ (แหวะ)


อันนี้ดอกหิรัญญิกาค่ะ (คิดว่าเขียนถูกนะ) เป็นดอกไม้เลื้อยขนาดใหญ่ สวยแปลกดีค่ะ



สำหรับรูปอื่นๆ ในตัวบ้าน ไปดูได้จาก เว็บไซต์ www.lazyriverhouse.com กันเอาเองนะคะ หน่อยไม่ได้ถ่ายเพราะมัวเล่นนับเลขอยู่ หมายถึงเล่นนับเลขโดยใช้แผ่นพลาสติกขอบทองจำนวน 52 ใบน่ะค่ะ (บอกเค้าว่าเล่นไพ่ก็จบมั้ยยะ) 

เล่นไพ่กันจนพอใจแล้ว สมาชิกเราจำนวนนึงก็ไปช่วยกันทำอาหารว่างทานกัน หนึ่งในนั้นคือ Honey Toast 


อร่อยมากขอบอก


นอกจากนั้นก็มี strawberry smoothie (ไม่ได้ถ่ายรูปมา เพราะตอนนั้นมือเลอะเนยอยู่ค่ะ) แล้วก็มะม่วงน้ำปลาหวานฝีมือคุณแม่ของสมาชิกแกงค์เรานั่นเอง


เราล้อมวงกันกินของว่างศาลาริมน้ำ พี่ชานึกว่าเราเล่นไพ่กัน เลยเอาแตงโมมาเสิร์ฟพร้อมพูดคุยกับพวกเราอย่างเป็นกันเอง พี่ชาเป็นคนละเอียดมากบอกเล่าทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ในการมาพักผ่อนที่นี่ พร้อมทั้งเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับบ้านหลังนี้



พอของว่างหมด เราจับกลุ่มเล่นไพ่อีกครั้ง จนประมาณ 5 โมงเย็นก็เริ่มนำอาหารทะเลที่เราเตรียมไว้มาย่างบนเตาถ่าน พร้อมสั่งอาหารจากร้านครัวแม่อุไรมาเสริมด้วย

หลังจากจัดการอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว เราก็เก็บล้างจานของที่นี่ และเข้าบ้านเพราะยุงที่ศาลาก็มีพอสมควร เราเข้ามาอาบน้ำอาบท่า และดื่มเครื่องดื่มขมๆ เปรี้ยวๆ ฝาดๆ กัน (เก๊าเลิกดื่มแล้วน้าาาา สุขภาพเริ่มไม่ดีแบ้ว -- จะทำเสียงแบ๊วทำไมเนี่ย) และแน่นอนต้องมีการนับเลขก่อนเข้านอน

คืนนั้นหน่อยนอนไม่หลับ เพราะปวดแขนมาก กว่าจะหลับน่าจะตี 3 แล้ว ตอนเช้าเลยตื่นสายกว่าเพื่อน ประมาณ 9 โมงครึ่ง พอลงมาปุ๊บก็มีอาหารเช้ามารอ นั่นคือข้าวต้มหมูแสนอร่อยที่ทางบ้านพักเตรียมไว้ให้ และถ้าใครตื่นเช้าก็จะมีเรือก๋วยจั๊บมาขายที่ท่าน้ำ หน่อยได้กินข้าวต้มหมู (ไปหลายถ้วย) พร้อมทั้งขนมปังหน้าพิซซ่าที่เพื่อนของเราทำกันเอง 

หลังจากนั้นพวกเราก็เก็บข้าวเก็บของเช็คเอ้าท์กันค่ะ





ป้ายเตือนหน้าบ้านค่ะ เห็นตั้งแต่วันแรกแล้ว ก็ระวังแล้วนะคะ  แต่มันห้ามไม่ได้จริงๆ

ไว้ถ้ามีโอกาสจะกลับมาใหม่น้าาาา

--------—-----------
แถม

ก่อนกลับเราได้แวะวัดบางกุ้งก่อนค่ะ เพื่อชมและสักการะหนึ่งในสถานที่ unseen ของเมืองไทย
ซึ่งตัวพระอุโบสถอยู่ภายใต้ต้นไม้ที่มีรากเลื้อยอยู่รอบๆ ค่ะ




พระประธาน


ใบชาตราสามม้ารึเปล่าเนี่ย

จบแล้ว รีวิวทริปสั้นๆ กับเพื่อนฝูงคนสนิทค่ะ

สำหรับคราวหน้า คงได้มาเขียนช่วงหลังสงกรานต์แน่ๆ

แล้วหน่อยไปเที่ยวสงกรานต์ที่ไหน จะมาเล่าให้ฟังอีกทีนะคะ

วันนี้ไปล่ะ ขอให้มีความสุขกับวันหยุดยาวนะคะ

รักนะจุ๊บๆ