Saturday, November 21, 2015

ผู้หญิงคนเดียว ก็เที่ยวและเปรี้ยวในต่างแดนได้

สาวๆ เคยประสบปัญหาเหล่านี้มั้ยคะ

- จองตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวกับเพื่อนสาว 2 คน พอใกล้ถึงวันเดินทาง เพื่อนดันติดธุระซะงั้น
- อยากไปประเทศในฝัน แต่ไม่มีใครอยากไปด้วยเลย
- แพลนเที่ยวกับหวานใจปีก่อน ปีนี้ต้องไปด้วยกันแต่ดันเลิกกันอีก (โอ้ย เศร้า)

อย่าเสียใจไปค่ะ (โดยเฉพาะข้อสุดท้าย มันทิ้งไป เราก็หาใหม่ได้ แซ่บกว่าเดิมด้วย อิอิ)
วันนี้ดิชั้นจะพักการเล่าเรื่องไปเที่ยว(เนื่องจากเงินหมด) แล้วมานำเสนอเรื่องการเตรียมตัวเตรียมใจไปเที่ยวคนเดียวจากประสบการณ์ของหน่อยเองซึ่งเคยไปเที่ยวคนเดียวมาแล้วในหลายๆ ประเทศ และที่เคยอ่านจากที่ต่างๆ มาค่ะ

สาวสวยอย่างเรา(กล้าพูดเนอะ) จะฉายเดี่ยวยังงัยให้เริ่ด เชิด ในต่างบ้านต่างเมือง

ก่อนอื่นมาดูข้อดีข้อเสียของการเที่ยวคนเดียวก่อนนะคะ

ข้อดี
- ไม่ต้องรอใคร ไม่ต้องเกรงใจใคร อยากไปไหนก็ไป อยากทำอะไรก็ทำ ตารางเวลายืดหยุ่นได้ตามใจเรา
- ได้พบเพื่อนใหม่ ประสบการณ์ใหม่
- มีเวลาชื่นชม ดื่มด่ำกับสิ่งรอบๆ ตัว มากขึ้น
- ได้ฝึกทักษะการวางแผน การดูแผนที่และการตัดสินใจ
- ทำให้เราได้อยู่กับตัวเองและเป็นการค้นหาตัวเอง รู้ว่าเราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร

ข้อเสีย
- อาจจะเปลืองค่าห้อง ถ้าคุณไม่ได้พักโฮสเทล เพราะคุณไม่มีคนหารค่าห้อง
- เวลากินก็อาจจะกินไม่ได้หลากหลาย เพราะไปคนเดียวจะสั่งมา 4-5 อย่างก็กินได้ไม่หมด
- ไม่มีคนช่วยคิด ช่วยตัดสินใจในการวางแผนการเดินทาง
- ไม่มีคนเม้าท์มอยระหว่างเดินทาง

พอรู้ข้อดีข้อเสียแล้ว หากรับข้อเสียได้ก็ลุยกันเลยค่ะ

การเตรียมตัวก่อนวันเดินทาง

1. เมื่อคุณมีประเทศในฝันแล้ว ให้หาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศนั้นเยอะๆ อ่านรีวิวมากๆ พยายามหาว่าแต่ละประเทศมีโซนไหนที่อันตราย โซนไหนปลอดภัย จะได้หลีกเลี่ยงได้ถูกและวางแผนคร่าวๆ ไว้ค่ะ

2. ได้ข้อมูลและวันเวลาที่จะไปเที่ยวแล้ว จองตั๋วและขอวีซ่าเลยค่ะ

3. สำหรับเรื่องโรงแรม ให้เลือกโรงแรมที่มีคะแนนรีวิวดีๆ ในประเภทนักท่องเที่ยวที่เดินทางคนเดียว(solo traveler) รีวิวส่วนใหญ่หน่อยดูจากเว็บ agoda, booking.com และพันทิปค่ะ

4. อย่าลืมทำประกันการเดินทางด้วยนะคะ ถึงแม้วีซ่าของประเทศนั้นๆ จะไม่ได้ต้องการก็ตาม  การเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันในต่างประเทศมันไม่ใช่เรื่องราวดีๆ เลยนะ ประกันก็ราคาไม่แพงเลยค่ะ เดี๋ยวนี้สะดวกมากซื้อออนไลน์ได้ อย่าเสียน้อยเสียยากเลยค่ะ เมื่อซื้อแล้วปริ้นท์กรมธรรม์ออกมาแล้วเก็บไว้ในกระเป๋าเดินทาง และเซฟไฟล์กรมธรรม์ไว้ในมือถือหรือแท็บเล็ตที่เอาติดตัวไปด้วยค่ะ

5. ถ่ายสำเนาเอกสารสำคัญติดกระเป๋าเดินทางไว้ เช่น พาสปอร์ต วีซ่า เป็นต้น

6. หยูกยาเตรียมไปให้พร้อม ทั้งยาสามัญประจำบ้าน และยาโรคประจำตัว การเจ็บไข้ได้ป่วยในต่างประเทศก็ไม่ใช่เรื่องราวดีๆ อีกเช่นกัน อย่าลืมออกกำลังกายรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอด้วยค่ะ

7. จดและเมมเบอร์โทรศัพท์สำคัญๆ ไว้ เช่น เบอร์สถานทูต เบอร์ประกัน เบอร์บัตรเครดิต เบอร์โรงแรมและเบอร์ญาติพี่น้องที่ติดต่อได้ในยามฉุกเฉิน

8. บอกกับญาติพี่น้อง หรือเพื่อนที่ไว้ใจได้ว่าเราจะไปเที่ยวที่ไหน ไปวันไหน กลับวันไหน ติดต่อทางไหนได้บ้าง

9. พกนกหวีดติดตัวไว้ด้วยก็ดีค่ะ เผื่อเกิดอะไรฉุกเฉิน เป่าขอความช่วยเหลือได้ค่ะ ไม่แนะนำให้พกอาวุธจำพวกมีด ปืนหรือเครื่องช็อตไฟฟ้าเด็ดขาด เพราะนอกจากไม่ผ่านตั้งแต่ security check ที่สนามบินแล้ว ถ้ามันไปอยู่ในมือฝั่งตรงข้ามมันไม่ใช่เรื่องราวดีๆ แน่ (แหม คำนี้มาบ่อย ใช้คำเหมือนดาราเชียว)

10. หาแหวนไว้สวมนิ้วนางซักวงนึง แหวนไข่ที่ได้จากการไขแก๊กหรือแหวนที่ซื้อจากตลาดนัดอะไรก็ได้ แค่ใส่ที่นิ้วนางของคุณได้ก็พอ มันอาจจะช่วยอะไรไม่ได้มาก อย่างน้อยก็กันคนที่ประสงค์ร้ายได้ส่วนนึงค่ะ

11. ข้อนี้ผู้ใหญ่หลายๆ ท่านมักจะเตือนเสมอว่า เมื่อแลกเงินมาแล้ว ให้ซ่อนเงินไว้หลายๆ ที่ เวลาหายจะได้ไม่หายทั้งหมดค่ะ


ข้อปฏิบัติในขณะเดินทาง

1. หลีกเลี่ยงการไปในที่เปลี่ยวและเคยมีประวัติการก่ออาชญากรรม

2. ไม่ออกไปข้างนอกโรงแรมในยามวิกาล ควรอยู่ในห้องปิดล็อคห้องให้มิดชิด

3. ควบคุมสติให้ดี ของมึนเมาและแอลกอฮอล์อย่าเสพอย่าใช้ดีที่สุด 

4. การพบเพื่อนใหม่ๆ เป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ไม่ควรให้ข้อมูลส่วนตัวกับคนแปลกหน้ามากเกินไป

5. แสดงท่าทีเป็นมิตรกับคนรอบข้าง ยิ่งเราดูท่าทางเป็นมิตรเท่าไร คนรอบๆ ข้างจะช่วยเราระแวดระวังภัยได้มากเท่านั้นค่ะ

6. เชื่อสัญชาติญาณของตัวเอง ว่าอะไรปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัย ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ก็ออกมาจากตรงนั้นซะ

7. ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันจริงๆ เช่น การขู่กรรโชกทรัพย์ อย่าต่อสู้ ยอมจ่ายเงินดีกว่าร่างกายเราจะเป็นอะไรไปค่ะ  จำไว้ว่าการต่อสู้ที่ดีที่สุด คือ การหลีกเลี่ยงการต่อสู้ เกิดอะไรขึ้นมามันไม่คุ้มจริงๆ ค่ะ

8. ส่งข้อความผ่าน chat (line, whatsapp หรือ facebook messenger) หาคนในครอบครัวหรือญาติสนิททุกครั้งที่มีโอกาส ในกรณีที่คุณไม่ได้เปิดโรมมิ่ง หรือ ใช้ซิมของประเทศปลายทาง

สิ่งที่ต้องคำนึงเสมอเวลาเดินทางคนเดียวคือ ความปลอดภัยค่ะ ถ้าคุณรู้สึกปลอดภัยแล้วความสนุกจะตามมาเองค่ะ

หวังว่าสิ่งที่หน่อยเขียนมาทั้งหมดจะเป็นแรงบันดาลใจ สำหรับสาวๆ ที่อยากจะไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียวแต่ยังไม่กล้าหรือไม่รู้จะเตรียมตัวอย่างไรนะคะ ถ้าใครมีประสบการณ์อะไรเพิ่มเติมจากการไปเที่ยว ลองมาแชร์กันที่คอมเมนต์ด้านล่างได้ค่ะ

ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ รักนะทุกคน xoxo











ฝรั่งมาบ้าน : Episode 1 ป้าแครี่ แบรดชอว์

สวัสดีผู้อ่านทุกท่านนะคะ
วันนี้เป็นวันฤกษ์งามยามดี เปิดตัว Series ใหม่ของเจอนี่ เจอนั่นนะคะ ชื่อว่า ฝรั่งมาบ้าน

ในซีรี่ย์นี้หน่อยจะเขียนเกี่ยวกับการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่สำหรับคนไทยค่ะ นั่นคือ Couch Surfing

มันคืออะไร?

อธิบายง่ายๆ คือการเปิดบ้านให้คนที่เป็นสมาชิกเว็บนี้ให้มาพักได้ฟรีเพื่อการท่องเที่ยว
และเราสามารถไปพักกับสมาชิกคนอื่นได้ฟรีเช่นกัน เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่มีงบจำกัด แต่กินง่ายอยู่ง่าย

น่าสนใจมั้ยล่ะ

ลองเข้าไปดูได้ที่ https://www.couchsurfing.com/

ไว้ว่างๆ จะอธิบายขั้นตอนการใช้งานให้อ่านกันนะคะ

สำหรับสมาชิกคนแรกที่มาพักกับหน่อย หน่อยไม่สามารถเปิดเผยชื่อที่แท้จริงของนางได้ด้วยจรรยาบรรณของวิศวกร (ข้อไหนวะ)
เพราะนางหนีลูก หนีครอบครัวมาค่ะ นางบอกว่าที่เยอรมันไม่มีใครรู้เลยว่านางมาที่นี่ ยกเว้น หมาของนาง 

หน่อยขอเรียกนางว่า ป้าแครี่ แบรดชอว์ละกันค่ะ
เพราะนางมีทั้งรูปลักษณ์และนิสัยคล้ายๆ ตัวละครที่ชื่อแครี่ แบรดชอว์  (แสดงโดย Sarah Jessica Parker) เป็นตัวเอกในซีรีย์ Sex And The City เลยค่ะ ใน profile นางบอกว่ามาจากเยอรมัน

อะ มโนกันไปก่อน ว่าหน้าตาประมาณนี้ (แต่นางมีอายุมากกว่านี้นะคะ หน่อยว่าตอนนางสาวๆ น่าจะสวยประมาณนี้ล่ะ เผลอๆ สวยกว่าด้วยซ้ำ)



หมายเหตุ1 : เกณฑ์การรับฝรั่งเข้าบ้านของหน่อยคือ 
1. เป็นผู้หญิงเดินทางคนเดียว (อยากรับผู้ชายเหมือนกัน แต่กลัวว่าหน่อยจะไปทำมิดีมิร้าย เดี๋ยวผู้ชายเค้าจะเสียหาย)
2. อ่าน reference  ประวัติ หรือ lifestyle แล้วคิดว่าน่าจะอยู่ด้วยกันได้

พอเราตกลงกันว่า ป้าแครี่จะมาพักที่คอนโดรูหนูของดิชั้นแล้ว เราก็จะบอกข้อจำกัดหรือข้อตกลงของแต่ละคน เช่น
นางถามว่านางจะสูบบุหรี่ได้มั้ย หน่อยสามารถพาไปเที่ยวเฉพาะเสาร์อาทิตย์ได้หรือเปล่า เป็นต้น และสุดท้ายนางขอเบอร์ดิชั้นเพื่อจะติดต่อผ่าน whatsapp 

หมายเหตุ 2: ทักษะภาษาอังกฤษของป้าแครี่เรียกได้ว่าเป็น broken english เลยค่ะ (แต่ของหน่อยก็ใช่ว่าจะดี 555) สื่อสารค่อนข้างจะลำบาก แต่ก็พอเข้าใจสิ่งที่ป้าพูดนะ

พอถึงวันที่นางจะเข้าพัก นาง sms มาถามว่าจะเจอกันที่ไหน กี่โมง หน่อยเลยขอนัดเจอนางตอนเที่ยงๆ ที่ Terminal21 ระหว่างนั้นเราส่ง sms กันไปมาหลายรอบ จนกระทั่ง นางต้องโทรด้วยเบอร์โทรของนาง แล้วให้รปภ ของห้างคุย สุดท้ายเราก็เจอกันแล้วก็นั่งแท๊กซี่เอาสัมภาระของป้ามาเก็บที่คอนโดก่อน

พอถึงคอนโดเราคุยกันว่าจะวางแผนไปไหนกันบ้าง นางบอกว่านางชอบธรรมชาติและเมืองเก่าๆ ค่ะ
ตอนนั้นก็บ่าย 2 ละ เลยตัดสินใจพานางไปเที่ยว เมืองโบราณ สมุทรปราการค่ะ เพราะว่าอยู่ไม่ไกลจากคอนโดมากและเป็นสถานที่ที่น่าสนใจค่ะ

หน่อยเลยเรียก grabcar (eco) เพื่อที่จะไปเมืองโบราณ 
ระหว่างที่นั่งรถกันไปเราก็คุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเยอะมาก 
นางเล่าว่านาง เป็นชาวตุรกี แต่อยู่ที่เยอรมันมานานมาก สาเหตุที่ปกปิดที่บ้านเรื่องมาเที่ยวเพราะนางป่วยหลายอย่าง
ที่หนักที่สุดคือ เป็นโรคความดันโลหิตสูงค่ะ เกิน 220 เลยอะ ซึ่งสูงมากจนหมอต้องทำบอลลูนในเส้นเลือดให้
ถ้าเห็นปริมาณยาที่หมอจ่ายให้นาง คุณอาจจะช๊อคได้ เรียกว่ากินยาเหมือนกินขนมกันเลยทีเดียว

เลยถามป้าแกว่า "แล้วถ้าเพื่อนชวนไปกินข้าวหรือไปเที่ยว ป้าจะทำไงอะ"
นางตอบว่า "ไอก็จะตอบไปว่า ไม่สบายไม่อยากออกไปไหนเลย ไว้วันหลังนะ"
ร้ายจริงๆ นะป้า

หมายเหตุ 3: ป้าโชว์รูปลูกสาวนางให้ดูด้วย  อายุน่าจะรุ่นเดียวกับหน่อยค่ะ สวยมากกกกกกกกก (ก ไก่ 50 ตัว)
เป็นดาราได้เลย

หมายเหตุ 4: คุณผู้อ่านที่เป็นผู้ชายไม่ต้องมาขอเบอร์ป้าแครี่เพื่อหวังอย่างอื่นนะคะ ลูกสาวป้าแต่งงานแล้วค่ะ เสียใจด้วยค่ะ คุณไม่ได้ไปต่อค่ะ!!!! 


พอถึงเมืองโบราณ ป้าขอสูบบุหรี่ก่อนเข้าไปค่ะ นางติดบุหรี่มากกกกกก
สูบแทบจะทุกๆ 30 นาทีเลยทีเดียว

พอไปซื้อตั๋ว นางยื่นบัตรประมาณว่าเป็นผู้ป่วยเพื่อจะขอเข้าฟรี  แต่ก็ถูกปฏิเสธ สรุปนางจ่าย 700 หน่อยจ่าย 350 ค่ะ

หมายเหตุ 5: ที่เยอรมันสวัสดิการดีมาก คนป่วย คนพิการสามารถเข้าชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ฟรีค่ะ

ซื้อบัตรเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่พาเรานั่งรถกอล์ฟ พาเราไปรอที่ตลาดน้ำเพื่อจะไปทัวร์กับไกด์รอบบ่าย 3
เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมง เลยชวนป้าแกกินผัดไทย แกกินหมดเกลี้ยงเลย ดีใจยังกะทำให้ป้าแกกินเอง

พอบ่ายสามก็มีรถรางมารับ มีน้องไกด์ผู้หญิงกับพี่คนขับรถ
น้องก็พาไปดูโน่นนี่นั่น ช่วงแรกๆ ป้าแกก็ตื่นตาตื่นใจกับการถ่ายรูปมาก พอไปซัก 3 ที่ ป้าแกก็เริ่มเหนื่อยมาก เพราะอากาศค่อนข้างร้อน เลยขอหยุดการทัวร์รถราง แล้วไปทัวร์ทางน้ำแทน



คราวนี้ป้าแกค่อยอารมณ์ดีขึ้นหน่อย


มีการจำลองเรือพายหลวงด้วยค่ะ

พอหมดเวลาของไกด์ รถรางก็ไปส่งเราที่ทางเข้า ป้าร้องอยากกินกาแฟแล้ว
ก็เลยพาไปกินกาแฟโบราณ (เหมือนหน้าดิชั้น) ซึ่งป้าชอบมาก
ระหว่างนั้นป้าก็ขอให้แชร์ wifi จากมือถือ เพราะนอกจากบุหรี่แล้วป้าก็ติดกาแฟและอินเตอร์เน็ตอย่างหนัก

หมายเหตุ 3: ตลอด 3 วันดิชั้นเปิด hotspot ที่มือถือเพื่อแชร์ อินเตอร์เน็ตให้ป้าเกือบตลอดเวลาที่อยู่นอกบ้าน

พอพักหายเหนื่อย เราก็ขี่จักรยานชมรอบๆ เมืองโบราณ ป้าชอบขี่จักรยานมาก อีกทั้งตอนนี้เป็นเวลาเย็นแล้วคนน้อยมาก เป็นสวรรค์สำหรับเราสองคนเลยทีเดียว



ตะวันตกดิน ลมเย็นๆ ป้าสูบบุหรี่ไปฟังเพลงไป ยุงก็กัดไป
ดิชั้นกลัวป้าจะเป็นไข้เลือดออกแล้วมีคนมาแอบอ้างว่าคุณมัดมาบีบคอ เลยรีบชวนกันกลับ

เราโบกแท๊กซี่กลับ พอถึงคอนโด หน่อยก็ชวนป้ากินข้าวที่ร้านใต้คอนโด
เลยถือวิสาสะสั่งข้าวไข่เจียวกุ้งให้ป้ากิน แล้วของตัวเองก็สังกะเพราปลาหมึกไข่ดาวพร้อมกับต้มยำกุ้งเป็นซุปไว้กินด้วยกัน

ป้าลองชิมต้มยำ แกบอกว่าเผ็ดมาก ส่วนข้าวไข่เจียวแกกินหมดเกลี้ยงอีกเช่นกัน

พอถึงห้องป้าชวนไปว่ายน้ำที่สระของคอนโด พร้อมกับนำโรตีที่ซื้อมาจากอาบังหน้าคอนโดและเป็ปซี่ไปด้วย เป็นการว่ายน้ำที่เก๋ที่สุดตั้งแต่ดิชั้นเคยพบเห็นมา 

ถึงเวลานอน ป้าแครี่เลือกที่จะนอนที่โซฟา เพราะรังเกียจดิชั้น เอ๊ย ไม่ใช่ เพราะป้าอยากนอนเป็นส่วนตัวค่ะ อีกอย่างป้าแกได้สูบบุหรี่ได้สะดวกด้วย

ก่อนนอนป้าโชว์เครื่องวัดความดันที่หน้าตาคล้ายนาฬิกาข้อมือค่ะ  ป้าลองวัดดูได้ประมาณ 140/88 ป้าเซอร์ไพรส์มาก เราก็ยินดีกับป้าด้วย แล้วป้าก็คะยั้นคะยอให้เราวัดปรากฎว่าได้ 160/90 โดยประมาณ หน่อยเลยบอกป้าว่า "ป้า เดี๋ยวหนูเขียนเบอร์แท๊กซี่ไว้ให้นะ  ถ้ามีไรพาหนูขึ้นแท๊กซี่ไปโรงบาลด้วย"

แล้วเราก็แยกย้ายกันไปนอน

วันต่อมา ตัดสินใจว่าจะไปวัดพระแก้ว วันนี้เราตื่นกันแต่เช้า เดินออกมาที่ปากซอยไปขึ้นรถไฟฟ้าแล้วนั่งเรือด่วนเจ้าพระยาไปลงท่าช้างกัน ซึ่งป้าเป็นชาวต่างชาติต้องจ่ายค่าเข้าชม 500 บาท รู้อย่างนี้อยากฟังเพลงขึ้นมาอีกแล้ว


พอเข้าไปเท่านั้นล่ะ ถึงจะอากาศร้อนตับแตกอย่างที่ทั้งป้าแครี่และหน่อยก็ขยาด แต่ป้าก็รัวชัตเตอร์ไม่ยั้ง ขนาดหน่อยที่มาวัดพระแก้วหลายรอบแล้วก็ยังอดหยิบกล้องคอมแพ็คตัวน้อยๆ มาชักภาพไม่ได้ (ชักภาพ คำโบราณเว่อร์รรร) 




ถ่ายรูปครุฑเพราะอยากกินมังคุด (อะไรของมัน)



น่ายัก(ษ์)อะ


เบื้องหลังการกดชัตเตอร์ของป้า


ป้าถ่ายมาเราถ่ายกลับ

หมายเหตุ 4: การแต่งตัวของป้าแครี่แซ่บมาก เสื้อเขียว กางเกงเขียว หมวกสีน้ำเงิน(ของดิชั้นเอง) รองเท้าสีทองและเป้สีแดง ไม่เปรี้ยวจริงไม่กล้าใส่นะแจ๊ะ

ป้าบอกว่าที่นี่สวยมาก แต่ป้าสงสัยว่าพระมหากษัตริย์ไทยประทับอยู่ที่นี่จริงๆ เหรอ เราก็อธิบายความรู้งูๆ ปลาๆ ไป ป้าเล่าว่า "หนูรู้ไหม พระราชาของหนูเนี่ยพระราชทานเงินช่วยนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่ลำบากด้วยนะจ๊ะ" 
โอ้โห ความรู้ใหม่ แล้วป้าก็ไปนั่งแอบๆ สูบบุหรี่ที่มุมอับมุมหนึ่ง แหม ป้างดซักแป๊บไม่ได้เหรอเนี่ยกำลังซึ้งเลย

พอออกจากวัดพระแก้วแล้ว ฝนทำท่าจะตก นี่มันเดือนพฤศจิกาแล้วนะ!!!!


ป้าอยากหาที่หลบฝน กินกาแฟและที่สำคัญต้องสูบบุหรี่ได้ เราจึงเดินไปบนถนนเส้นหน้าพระลาน พอนางเห็นม.ศิลปากรเท่านั้นแหละ นางก็เข้าไปถ่ายรูป พร้อมทั้งให้ดิชั้นหาร้านกาแฟให้ เราก็ไปนั่งตรงที่เป็นศาลาจีนเขียวๆ แล้วดิชั้นก็ไปสั่งกาแฟที่ซุ้ม ระหว่างนั่งกินกาแฟ ดิชั้นก็หามุมถ่ายรูปไปพลางๆ


หมายเหตุ 5: จริงๆ เคยมาที่นี่หลายครั้งนะคะ เพิ่งมีครั้งนี้แหละที่คิดว่าศิลปากรท่าพระน่าถ่ายรูป (เด็กศิลปากรอย่าโกรธเก๊านะ)


ซุ้มเขียวที่เรานั่งหลบฝนกันค่ะ ป้าแครี่ฟังเพลงซะเคลิ้มเชียว

พอฝนหยุดตกแล้ว ป้านั่งจัดของแล้วก็ทำหน้าเลิกลั่ก ถามนางว่าเกิดอะไรขึ้น นางบอกว่านางทำตังค์หาย 500 (ตังค์ทอนค่าเข้าวัดพระแก้วน่ะค่ะ) ก็เลยบอกนางว่าหาดีๆ ค่อยๆ หา นางก็หาเงินซักพักก็ยังไม่เจอ ก็เลยบอกนางว่า"ไม่เป็นไรหรอก อย่าเสียใจเลย เดี๋ยวเย็นนี้หนูเลี้ยงพิซซ่าปลอบใจ" นางยิ้มได้น้อยๆ แล้วเราก็เดินไปเที่ยววัดโพธิ์กันต่อค่ะ เช่นกันที่นี่ป้าก็กดไปหลายรูปค่ะ



มีน้องนักศึกษามาสัมภาษณ์ถ่ายคลิปไปส่งอาจารย์ค่ะ  ป้าถามว่า "ป้าจะดังแล้วใช่มั้ย" แหมป้า ถ่ายไปส่งอาจารย์นะป้า ไม่ใช่ ออกทีวี


หลังจากให้สัมภาษณ์น้องๆแล้ว ป้าร่ำร้องว่าอยากไปนวด ได้ค่ะจัดให้ ครึ่งชั่วโมง 260 

ข้อแนะนำ: ที่วัดโพธิ์และร้านนวดอีกหลายๆ ที่นวดค่อนข้างแรง กลับไปไข้ขึ้น ก่อนนวดกรุณาย้ำกับหมอนวดว่า เบาๆ หน่อยนะคะ ถึงหนูจะตัวเหมือนหมี แต่กล้ามเนื้อบอบบางนะตะเอง


ออกจากวัดเราก็กลับคอนโดค่ะ  วันนี้ทำตามสัญญา พอไปถึงคอนโดสั่งพิซซ่าฮาวายเอี้ยนอย่างที่ป้าอยากกินให้เลย ป้าชอบมากกก พอกินเสร็จป้าวัดความดันทั้งตัวป้าเองและดิชั้น ผลคือความดันป้าต่ำกว่าเมื่อวาน แสดงว่าการมาเที่ยวช่วยลดความดันใช่มั้ยเนี่ย

วันต่อมา หน่อยตื่นสาย เพราะเมื่อคืนดูฮอร์โมนส์กับเล่นเน็ตดึกไปหน่อย ป้าลงไปว่ายน้ำรอบนึงแล้วขึ้นมา
ป้าขอออกหลังเที่ยง เราก็กว่าจะอาบน้ำแต่งตัว เสร็จเกือบๆ เที่ยง ฝนเจ้ากรรมดันตกอีกแล้ว (ย้อนกลับไปฟังเพลง November Rain ได้ที่ข้างบนค่ะ) กว่าฝนจะหยุดก็เกือบบ่ายโมงครึ่ง หน่อยก็เลยเรียกแท๊กซี่ไปที่วัดบางนานอก เพื่อที่จะไปปั่นจักรยานที่บางกระเจ้าค่ะ

สาเหตุที่เลือกพาป้าแครี่มาที่บางกระเจ้าเพราะว่านางชอบปั่นจักรยานและชอบธรรมชาติ  อีกทั้งที่นี่ไม่ไกลจากคอนโดเท่าไร ที่นี่คงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดค่ะ

พอไปถึงเราก็เช่าจักรยาน ที่หมายแรกคือ บางกอกทรีเฮ้าส์ค่ะ


ที่นี่เรากินมื้อเช้าควบกลางวันกัน อาจจะเหมือนฝรั่งที่กิน Sunday Brunch แต่จริงไม่ใช่อะไร ที่คอนโดไม่มีอะไรกิน 555

นั่งพักคุยกันเม้าท์มอยซักพัก เราก็ปั่นกันต่อไปที่พิพิธภัณฑ์ปลากัดแล้วก็ปั่นเล่นในสวนศรีนครเขื่อนขันธ์ค่ะ

ป้าบอกว่า "แผนการเที่ยวของหนูนี่ดีทุกวันเลยนะ" ไม่รู้ว่าป้าพูดกลัวเราเสียน้ำใจหรือชมเรากันแน่
แต่ยังงัยก็ขอบคุณป้านะคะ

ตอนเย็นป้าบอกว่าจะทำกับข้าวให้กิน แต่ป้าก็ผิดหวังเล็กน้อยที่คอนโดไม่มีเครื่องครัวอะไรเลย นอกจากหม้อหุงข้าวดิจิตอล 1 ใบ และ เตาไมโครเวฟ ป้าเลยทำได้แค่หุงข้าวแบบตุรกีค่ะ ตือเป็นข้าวหุงกับเนยและใส่เกลือไปนิดหน่อย กินกับใส้กรอกเซเว่น อร่อยดีนะ ไว้ว่างๆ หนูจะหุงกินเองนะคะป้า

เช้าวันต่อมา ป้าต้องไปเกาะช้างแล้ว ดิชั้นไปส่งป้าที่อนุสาวรีย์ แอบเหงาๆ เหมือนกันนะเนี่ยป้าไม่อยู่แล้ว
ก่อนไปก็ฝากป้าไว้กับน้องคิวรถตู้ แล้วก็กอดลาป้าไปทำงาน

ตอนนี้ป้าอยู่เกาะช้าง ดูนางแฮปปี้ดีค่ะ นางบ่นว่ายุงที่โน่นเยอะมาก เลยบอกนางว่าซื้อยากันยุงมาใช้ด้วยนะ
ดิชั้นกลัวคุณมัดมาบีบคอค่ะ

จบการต้อนรับฝรั่งแปลกหน้าแล้ว ไว้คราวหน้าถ้ารับใครเข้าบ้านอีกจะมาเล่าให้ฟังนะคะ
วันนี้ขอตัวไปกำจัดกลิ่นบุหรี่ในบ้านก่อน ไว้ถ้ามีเรื่องอะไรเกี่ยวกับการท่องเที่ยวจะมาเล่าให้ฟังใหม่ค่ะ


























Tuesday, November 10, 2015

ไปมาเก๊า...ตามใจเก๊า 3 (จบแล้วจ้าาา)

กราบสวัสดีมิตรรักแฟนblog ของอิชั้นทุกท่าน
ขอบคุณที่ติดตาม 2 ตอนที่ผ่านมานะคะ มีคำติชมและคำแนะนำหลังไมค์มาบ้าง
ซึ่งหน่อยก็ขอขอบคุณทุกๆ คำ comment นะคะ เป็นกำลังใจที่ดีมากๆ เลยค่ะ

สำหรับ blog นี้ มาเก๊า ตอนที่ 3 ตอนจบแล้วค่าาา

สำหรับคนที่งงว่าตอน 1 กะ 2 คืออะไรอยู่ที่ไหน ย้อนหลังตามลิงค์ข้างล่างเลยค่ะ

ปฐมblog...ไปมาเก๊าตามใจเก๊า (ตอนที่ 1): http://journeyjournalbynoy.blogspot.com/2015/11/blog.html
ไปมาเก๊า...ตามใจเก๊า 2 : http://journeyjournalbynoy.blogspot.com/2015/11/2.html

เช้าวันที่ 3 วันนี้ตื่นเช้ากว่าวันก่อนๆ เพราะต้องเก็บของเตรียม check out จากโรงแรม
พอลงมาจัดการเรื่องห้องที่ counter เสร็จ พนักงานโรงแรมนางมองการแต่งตัวอิชั้นแล้วก็อมยิ้มเล็กๆ
พร้อมกับพูดว่า "คุณครับ รักษาสุขภาพด้วยนะครับ ช่วงนี้อากาศที่นี่เย็นลงเรื่อยๆ นะครับ"

จะไม่ให้นางพูดแบบนั้นได้ไง วันนั้นหน่อยใส่เสื้อแขนตัด (คล้ายแขนกุดน่ะค่ะ แต่มีแขนเสื้อออกมานิดนึง แบบว่าอยากโชว์ไบเซ็ป ไตรเซ็ปน่ะ) กางเกงกระโปรงขาสั้น รองเท้าผ้าใบและสิ่งที่ดูจะกันหนาวได้ดีที่สุดคือผ้าพันคอผืนบางๆ ซึ่งปกติใส่เป็น accessary มากกว่ากันหนาว 

ก็ได้แต่ยิ้มตอบ พร้อมกับถามเรื่องฝากกระเป๋า นางบอกว่าให้ไปฝากที่ concierge พอไปที่เคาท์เตอร์นั้น อุแม่เจ้า!!  หล่อ หล่อมาก กรี๊ดๆๆ (กรี๊ดในใจค่ะ เดี๋ยวเค้าจะรู้ว่าเราบ้า) คือ งานดี งานละเอียดค่ะ พูดได้แค่นี้จริงๆ 

หลังจากฝากกระเป๋าจนหายเพ้อแล้ว อีป้าก็เดินออกมาจากโรงแรมมุ่งหน้าไปที่ Fisherman's Wharf ซึ่งอยู่ติดกับโรงแรมเลยค่ะ 
วันนี้อากาศเย็นลงกว่าเมื่อวานตามที่คุณพนักงานคนนั้นบอกจริงๆ ด้วย


เป็นนักท่องเที่ยวไทยต้องถ่ายรูปกับป้ายค่ะ (ใครเป็นคนตั้งธรรมเนียมนี้นะ)



อันนี้ฝั่งตรงข้ามค่ะ ยังเป็นเขตของโรงแรม Sands อยู่

เข้ามาปุ๊บจะเจอโคลอสเซียม




หน่อยว่ามันคล้ายๆ Palio หรือ Mimosa ของบ้านเราค่ะ ที่เป็นสถานที่ชอปปิ้งแล้วมี theme ของอาคารร้านรวงที่ถอดแบบมาจากชาติอื่นๆ หน่อยไปถึงตั้งแต่ 9.30 ค่ะ ยังไม่มีร้านไหนเปิดเลย แต่ก็ถ่ายรูปได้ เลยกดมาซะ...




สีสันสดใสมาก





อันนี้คล้ายๆ ลานเบียร์บ้านเราค่ะ รับลมชมวิวสะพานที่ไปไทปา

เดินจนสุดแล้วออกมาอีกฝั่งนึงค่ะ แล้วเดินต่อไปเรื่อยๆ จะเห็นวิวแบบในรูป


จุดหมายต่อไปคือ รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมค่ะ เห็นมั้ยคะในรูป

ถ้ายังไม่เห็น เดินไปอีกซัก 500 เมตรจะเห็นแบบนี้ค่ะ


คราวที่แล้วหน่อยก็เคยยืนตรงจุดที่หน่อยถ่ายรูปนี้ล่ะค่ะ (เป็นที่เดียวเลยมั้งที่มาซ้ำกับคราวที่แล้ว) แต่ไม่ได้เข้าไปข้างใน เพราะเค้าปิดค่ะ เลยถ่ายรูปได้จากริมถนน

คราวนี้ก็นึกว่าพลาดซะแล้ว หน่อยมาถึงเค้ากั้นไว้ไม่ให้เข้า ดีว่าเห็นป้ายเค้าบอกเวลาเปิด 10 โมงเช้า ขณะนั้นเวลา 9.55 ก็รอจน 10 โมงตรงเป๊ะคุณลุง รปภ. มาเปิดให้ค่ะ พอเดินเข้าข้างในตรงฐานของเจ้าแม่กวนอิมก็มีทางลงไปข้างล่างอีกค่ะ เป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของที่นี่ ที่สำคัญ ฟรีค่ะ 

ก่อนไปจากที่นี่ ถ่ายภาพเจ้าแม่กวนอิมมุมกว้างซะหน่อย เอาไปเป็น cover ใน facebook เกร๋ๆ


หมายเหตุ 1: ทั่วมาเก๊ามี Wifi ฟรีค่ะ หนึ่งในสถานที่เหล่านั้นก็คือพิพิธภัณ์เจ้าแม่กวนอิมนี่ล่ะค่ะ ถ้าอยากรู้ว่าจุดไหนที่มี wifi ฟรีบ้าง ให้ดูจากแผนที่ท่องเที่ยวของมาเก๊านะคะ แจกฟรีที่สนามบินและเวเนเชี่ยนค่ะ

upload cover photo เสร็จแล้ว จุดหมายปลายทางต่อไปคือ flora garden ที่เมื่อวานพลาดขึ้นกระเช้าไป Guia Fortress ค่ะ  หน่อยเดินต่อไปอีกจนถึงแยกตึก MGM มีพี่สิงโตมานั่งรอค่ะ


แล้วหน่อยก็ข้ามถนนไปทางขวาเดินไปเรื่อยๆ จะเจอกับโรงแรม Wynn ค่ะ


ตึกนี้สวยหรูดูแพงจริงๆ

หมายเหตุ 2: สิ่งน่าสนใจในโรงแรม Wynn นอกจากความสวยงามของอาคารแล้ว ตอนกลางคืนยังมีโชว์น้ำพุด้วยนะ  ได้ข่าวว่าสวยดีเหมือนกัน

ถัดจากนั้นหน่อยเลี้ยวขวา เจอกับโรงแรมนี้ (จำชื่อไม่ได้)


แล้วหน่อยก็ขึ้นรถเมล์ที่ป้ายแถวๆ นั้น เพื่อจะไป Flora Garden 

ทิปส์การเอาตัวรอด 1: ที่ป้ายรถเมล์ในมาเก๊าจะมีไอ้เจ้าทรงกระบอกหมุนได้แบบรูปข้างล่าง ซึ่งจะบอกว่าตรงนี้รถเมล์สายไหนวิ่งผ่านบ้าง และวิ่งผ่านที่ใดบ้าง ขึ้นไปบนรถเมล์ก็มีทั้งป้าย LED และเสียงบอกว่าป้ายหน้าคือป้ายอะไร ซึ่งมีถึง 4 ภาษา คือ ภาษาจีนกวางตุ้ง ภาษาจีนกลาง ภาษาโปรตุเกสและภาษาอังกฤษค่ะ



ระหว่างที่กำลังมะงุมมะงาหราดูว่าจะต้องขึ้นรถเมล์สายอะไรบ้างนั้น หน่อยได้ยินเสียงผู้หญิงพูดภาษาจีนประโยคนึงดังลอยขึ้นมา แต่ก็ไม่สนใจอะไร ซักพักได้ยินอีกประโยคนึงคล้ายว่ากำลังพูดกับหน่อยอยู่ หันไปเป็นอาเจ๊วัยกลางคนหน้าตาใจดีหันหน้ามาพูดกับหน่อยซึ่งกำลังทำหน้าเหวออยู่ แล้วนางก็พูดภาษาอังกฤษขึ้นมาว่า 

อาเจ๊: จะไปไหนล่ะอีหนู
อิชั้น: จะไปนั่งกระเข้าขึ้น Guia Fortress ที่ Flora Garden ค่ะเจ๊
อาเจ๊: อ้อ ขึ้นหอคอยน่ะเหรอ เออ นั่งกระเช้าไปน่ะดีแล้ว ถ้าเดินขึ้นไปเองขาลากแน่ นี่ๆ นั่งสาย 12 สิ 3 ป้ายก็ถึงแล้ว หรือนั่งสาย 23 ก็ได้แต่อ้อมหน่อยนะ 6 ป้าย พอลงแล้วนะเดินย้อนไปทางแยกที่มีสะพานข้ามแยกนะ มันจะอยู่ถัดจากโรงเรียนไปหน่อยนึง อ้อ ทางมันชันขึ้นนิดนึงนะ ก็ถึง กระเช้าขึ้นหอคอยเกียละ (Guia Fortress)

โห เจ๊บอกทางละเอียดขนาดนี้ เจ๊กินแผนที่เป็นอาหารหลักป่าวเนี่ย

อาเจ๊: นี่ลื้อคนไทยใช่มั้ยเนี่ย
อิชั้น: เจ๊รู้ได้ไงอะ
อาเจ๊: คนที่มาเที่ยวที่นี่แล้วใช้แต่ภาษาอังกฤษ ก็มีแต่คนไทยเท่านั้นแหละ

แหม เจ๊ไม่รู้อะไร คนไทยพูดภาษาอังกฤษไม่ได้มีเยอะแยะ

อิชั้น: (หัวเราะ) แล้วเจ๊คนที่ไหนอะ
อาเจ๊: ทายดิ 
อิชั้น: ฮ่องกงแน่เลย
อาเจ๊: nooooo lah

ตอบงี้ชัดเลย เจ้เป็นคนที่ไหน
เจ๊คงจะเป็นคนสิงคโปร์ที่รู้ทางในมาเก๊าดีกว่าคนมาเก๊าบางคนอีกมั้งเนี่ย

ซักพักอิชั้นหยิบเหรียญขึ้นมานับ 
อิชั้น : เจ๊ ค่ารถมัน 3 เหรียญ 20 ใช่มะ
เจ๊: อือ
อิชั้น: เนี่ย หนูมีอยู่ 2 เหรียญ 20
เจ๊: อะ อั๊วให้ 1 เหรียญ อั๊วใช้บัตร ไม่ได้ใช้เหรียญเท่าไรหรอก เอาไปสิ
อิชั้น: ขอบคุณค่ะเจ๊

และแล้วประเทศไทยก็ลดการขาดดุลย์ไปได้ 4.50 บาท โดยประมาณ
ขอบคุณเจ๊มากค่ะ

ก่อนที่อิชั้นจะไถตังค์เจ๊ไปมากกว่านี้(ล้อเล่นนะคะ อย่าดราม่า) เจ๊รีบขึ้นรถเมล์สายของเจ๊ออกไปทันที
แล้วรถเมล์สาย 23 ก็มาพอดี ดิชั้นขึ้นรถเมล์แล้วไปตามทางที่เจ๊แกบอกมา ก็ถึงกระเช้าขึ้นหอคอยเกียค่ะ
ราคาตั๋วไปกลับ 3 เหรียญเอง ถูกกว่าค่ารถเมล์อีก



ถึงแม้มันจะไม่สูงเท่านองปิงที่ฮ่องกง แต่ก็กลัวอยู่ดี ระหว่างอยู่บนกระเช้าแทบไม่อยากขยับตัวเลย เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา พอถึงข้างบนปุ๊บก็เจอกับลานกิจกรรมแบบนี้


อีกด้านเป็นร้านกาแฟ


 "แมนๆ เตะบอลครัช"


ทางขึ้นหอคอยค่ะ


อันนี้เปรียบเสมือนซำสุดท้ายก่อนขึ้นหลังแป ที่ภูกระดึง


ขึ้นชื่อว่าเป็น fortress มันก็ต้องมีปืนใหญ่ด้วยสินะ


เห็น Macau Tower กับโรงแรม Grande Lisbao อยู่ลิบๆ


มีจัดแสดงอุปกรณ์ที่ใช้วัดความแรงของลมด้วย


ถึงแล้ว ประภาคารเกีย  (Guia Lighthouse)


ณ ตรงนี้ ความสูงขนาดนี้ ไม่ต้องส่องกระจกดิชั้นก็รู้ว่าใบหน้าดิชั้นซีดเหมือนอกไก่นึ่งซีพีแน่ๆ
มีทั้ง ประภาคาร(lighthouse) ที่อยู่สูง(high) ขนาดนี้ และเห็นนักท่องเที่ยวบางคนก็มากันเป็นครอบครัว(family) นึกถึงเพลงๆ นึงขึ้นมาทันที




หมายเหตุ 3: สำหรับคนที่วิจารณ์ว่าเพลงบัวแล้งน้ำเป็นเพลงบอกอายุ เพลงนี้ใหม่ขึ้นมาหน่อยนึงแล้วนะ
หมายเหตุ 4: เกี่ยวข้องแค่ชื่อเพลงกับชื่อนักร้องเฉยๆ เนื้อหาคนละเรื่องเลย

ชื่นชมวิวทิวทัศน์ข้างบนซักพัก ก็ต้องกลับ เดี๋ยวจะไปซื้อของฝากไม่ทัน เลยกลับทางเดิมไปขึ้นกระเช้าเพื่อจะลงมาจากเขา


พอลงมาก็ขึ้นรถเมล์ไป senado square (อีกแล้ว) เพื่อจะไปซื้อของฝากที่ทำงานค่ะ โทษฐานที่อู้งานมาเที่ยว


เข้าใจว่าอันนี้คือตึกพิพิธภัณฑ์ไปรษณีย์ อยู่แถวๆ Senado ค่ะ


วันนี้ Senado มีม๊อบ อาม่า อาซิ่ม มากันเยอะเชียว สงสัยประท้วงเรื่องหมากพลูขึ้นราคา


มีม๊อบแล้วน้ำพุไม่ทำงานเลย (เกี่ยวมั้ย?)


โบสถ์เซ็นต์โดมินิกที่เจอวันแรกค่ะ

วันนี้ตอนกลางวันจู่ๆ ก็อยากกินอาหารโปรตุกีสซะงั้น
เลยเดินหาร้านแถวๆ นี้อยู่พักใหญ่  จนมาเจอร้านชื่อ Bao
บรรยากาศในร้านก็ดีค่ะ เปิดเมนูพลิกไปมาหลายรอบ สุดท้ายก็สั่ง


ข้าวผัดเป็ด โรยหน้าด้วยแฮมทอด
อร่อยดีนะ เหมือนเป็ดตรุษจีนที่แม่เอาไปคั่ว 10 ครั้ง มาฉีกเป็นฝอยๆ แล้วผัดกับข้าว แต่ฝืดคอมาก จนต้องสั่งชาอีกกระป๋องนึงเลย

อิ่มท้องแล้วก็ไปซื้อของฝากแถวๆ ทางขึ้น ซากโบสถ์ ชิมก่อนซื้อได้ค่ะ
ได้ egg roll 1 กล่อง ขนมเปี๊ยะไส้สับปะรด 1 กล่อง ไส้เปลือกส้ม 1 กล่อง ไดฟุกุ 2 แพ้ค

ทิปส์1: เวลาซื้อของฝากคนอื่น หน่อยจะซื้อแต่ของกินค่ะ เพราะถ้าเป็นของอย่างอื่นอาจจะไม่ใช้เลยก็ได้ ของกินอย่างน้อยทุกคนได้ชิมนิดนึงก็ยังดี และจะเลือกที่หน่อยคิดว่าอร่อย เพราะถ้าเกิดไม่มีใครกินเลย เราได้เป็นคนจัดการให้หมด (มิน่ามันถึงบวมเอาๆ)

ออกจากร้านของฝากร้านนึง ก็ผ่านอีกร้านที่ขายหมูแผ่น เด็กเชียร์หมูแผ่นหน้าร้านพูดไทยได้ด้วย (เป็นผู้ชายถึกๆนะ ไม่ใช่ผู้หญิงสวยๆ ยืนเป็นกลุ่มล้อมหน้าล้อมหลังเลย) 

เด็กเชียร์หมูแผ่น: หมู แผ่น มั้ย (พูดภาษาไทยกระท่อนกระแท่น)
ชะนียักษ์: ไหนชิมหน่อย (หยิบมาชิม เป็นรสพริกไทยดำ คงทำมาเอาใจคนไทยน่ะค่ะ แต่หน่อยว่าไม่อร่อยเลย)
เด็กเชียร์หมูแผ่น: เอามั้ย
ชะนียักษ์: ไม่อะ ไว้ก่อนดีกว่า ขอบคุณนะ (แล้วก็เดินจากไป)
เด็กเชียร์หมูแผ่น: ซวย จริง จริง

เอ่อ คุณผู้อ่านคะ คุณคิดว่าน้องเด็กเชียร์หมูแผ่นเค้าพูดว่า "สวย จริง จริง" หรือ "ซวย จริง จริง" คะ
ช่วยตอบที่คอมเมนต์ด้านล่างด้วยค่ะ

พอเอาความสวยหรือความซวยก็ไม่ทราบออกมาจาก senado แล้ว ดิชั้นก็นั่งรถเมล์กลับโรงแรม ไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่น้องสุดหล่อคนนั้น (ส่วนหัวใจพี่ยังฝากที่น้องนะคะ ฮิ้วววว) แล้วก็ทำเหมือนวันก่อนคือนั่งรถไปท่าเรือ นั่งรถฟรีไป Galaxy แล้วต่อรถไป สนามบิน


ข้างในรถของ Galaxy ค่ะ มี Wifi ฟรีเหมือนกัน

ทิปส์ 2: พอถึงสนามบิน หากคุณบินกับแอร์เอเชียแบบดิชั้น ให้เอา Boarding Pass ที่เป็นกระดาษ A4 ง่อยๆ ไปแลกเป็นแบบกระดาษแข็งอันไฮโซขึ้นมานิดนึงที่เคาท์เตอร์ของแอร์เอเชียก่อนนะคะ ไม่งั้น ตม. ไม่ให้ออกนอกมาเก๊านะเออ 



ทิปส์ 3: duty free พวกน้ำหอม เครื่องสำอาง ที่สนามบินไม่มีอะไรที่ถูกกว่าบ้านเราเลย ราคาพอๆ กัน กลับมาซื้อเมืองไทยเหอะ

พอลงดอนเมือง(เล่าข้ามไปเยอะมาก) ด้วยความรู้มากและขี้เกียจของดิชั้น ไม่ยอมเสีย 50 บาทค่ะ อุตส่าห์เดินขึ้นไปตรงผู้โดยสารขาออก เจอแท๊กซี่คันนึงจอดอยู่

ชะนี: น้องๆ ไป...รึเปล่า
แท๊กซี่: ไปครับ

ชะนีรีบขนข้าวของขึ้นเบาะหลังอย่างเร็วไว พอปิดประตูปุ๊บ อีคนขับก็บอกว่า
แท๊กซี่: พี่ ผมขอบวกจากมิเตอร์เพิ่มอีก 40 บาทได้ปะ รถมันติดน่ะวันนี้
ชะนี: (ตัดรำคาญ) ได้ๆ

ระหว่างนั้นชะนีขี้เม้าท์ก็โทรเมาท์มอยเรื่องไปเที่ยวตามประสา
พอถึงที่หมาย มิเตอร์ก็โชว์  267 บาท

แท๊กซี่: 307 บาทครับพี่
ชะนี: (นับเงินมีแต่แบงค์ร้อย) 300 ถ้วนได้ปะ
แท๊กซี่: โห พี่ ไปเที่ยวใช้เงินเป็นแสนๆ แค่นี้ให้ไม่ได้เหรอ

แสน พ่องงงงง


ชะนี: เห้ย (ชักโมโห) ถ้ามีแสนนึงไปเที่ยวยุโรปไม่ดีกว่าเหรอวะ ไม่เที่ยวแค่มาเก๊าหรอก แล้วนี่ก็บวกให้ตั้งเยอะแล้ว จะเอาอะไรอีกวะ
แท๊กซี่: โห อิจฉาคนรวยจริงๆ

แม่ง ยังไม่จบ (ขออนุญาตหยาบคายนิดนะคะ โมโหจริงๆ)

ให้เงินมันไป 300 แล้วรีบลงจากรถเลย รมณ์เสีย 

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า:  "ทำไม ไม่ไปขึ้นตรง อมารี วะ ไม่เสียเพิ่มซักบาท" น้องชายคนรองของอิชั้นกล่าว หลังจากเล่าให้มันฟัง

จบทริปมาเก๊าแล้วค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะ

ส่วนตอนหน้าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เป็นการท่องเที่ยวแบบใหม่ที่คนไทยยังไม่ค่อยคุ้นเคย
จะเป็นอะไร เร็วๆ นี้จะเล่าให้ฟังค่ะ สำหรับวันนี้ขอตัวไปเตรียมข้อมูลของตอนต่อไปนะคะ

รักนะทุกคน จุ๊บๆ