Sunday, November 8, 2015

ไปมาเก๊า...ตามใจเก๊า 2

สวัสดีค่ะ

ด้วยเสียงตอบรับอันท่วมท้น 1 เสียงถ้วน (นั่นคือดิชั้นเอง)
ว่าอยากจะอ่านตอนที่ 2 แล้ว  ดิชั้นจึงบึ่งไปมาบุญครองเพื่อจะซื้อคีย์บอร์ดสำหรับใช้กับ iPad mini (made in เซิ่นเจิ้น) เพื่อการนี้โดยเฉพาะ

ใครที่ยังไม่ได้อ่านตอนแรกย้อนไปอ่านได้ที่ลิงค์ข้างล่างได้นะคะ

วันที่ 2 ตื่นสายนิดหน่อย กว่าจะกินข้าว กว่าจะอาบน้ำ ออกมานอกโรงแรมก็เกือบ 10 โมงของที่โน่นละ
อากาศวันนี้ค่อนข้างขะมุกขะมัว อึมครึมๆ หน่อยค่ะ อากาศกำลังสบายประมาณ 20 - 25 องศาค่ะ


นี่เป็นโรงแรม Sands ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโรงแรมที่หน่อยพักค่ะ ใกล้ๆ กันนั้นก็เป็นพิพิธภัณฑ์ ดร. ซุน ยัต เซ็น

จากการศึกษาเส้นทางล่วงหน้าอันยาวนาน (ประมาณ 15 นาที ก่อนออกมาจากโรงแรม) ก็สรุปกับตัวเองว่า วันนี้จะเน้นเที่ยวที่ฝั่งไทปา เลยหาข้อมูลว่าจะไปหมู่บ้านไทปาได้ยังงัยบ้าง

สรุปเส้นทางที่จะไปคือ นั่งรถเมล์สาย 3A ไปลงที่ ท่าเรือมาเก๊า แล้วนั่งรถฟรีของ Galaxy (คาสิโนชื่อดังอีกแห่งของมาเก๊า ซึ่งมีรถฟรีไปที่ต่างๆ ประมาณ 12 สาย) ไปที่ท่าจอดรถบัสฟรีของโรงแรมนี้ซึ่งขนาดพอๆ กับขนส่งเอกมัยเลยค่ะ
แต่ด้วยความโง่ของอิชั้น เห็นเค้าลงกันหมดตรงโรงแรม JW Marriot ก็ลงตามเค้าเฉยเลย ลงมาก็เอ๋อๆ ดูแผนที่ก็งงๆ เลยตัดสินใจถามทางน้องที่เป็นพนักงานเปิดประตู นางพูดภาษาอังกฤษได้ดีเลยล่ะ

ทิปส์การเอาตัวรอด 1: ผู้ใหญ่หรือคนโบร่ำโบราณมักจะพูดกันเสมอว่า "เส้นทางอยู่ที่ปาก" ไม่ได้หมายความว่าให้เอาแว่นขยายส่องที่ปากแล้วจะเห็นแผนที่นะคะ  แต่เค้าหมายความว่า ถ้าหลงทางก็ถามคนแถวนั้นเถอะ ซึ่งมันช่วยประหยัดเวลาได้มากจริงๆ นะ

น้องเค้าบอกว่า ให้เดินไปที่ Cristal Lobby แล้วก็จะเห็นท่ารถบัสของ Galaxy แล้วก็ข้ามถนนไป ก็ถึงหมู่บ้านไทปา

อะ ไหนๆ ก็มา Galaxy ละ ชักภาพเป็นที่ระทึกซะหน่อย


ทางเข้าหมู่บ้านไทปาค่ะ


พิพิธภัณฑ์อะไรซักอย่าง วันนี้วันอาทิตย์เข้าฟรี ข้างในมีมุมให้เด็กเล่นด้วย


เดินมาซักพักจะถึงตลาดไทปา คนคึกคักพอสมควรค่ะ


ปากทางเข้าตลาด เจอกับคุณลุงท่านนึงแกใส่เสื้อตัวนี้ แฟนบอลไทยอย่างอิชั้นต้องขอไปถ่ายรูปในทันที 
(ถึงแม้เราจะสื่อสารกันลำบากมากก็ตาม)


ทำไมไม่มีเสื้อเมืองทองมั่งว้าาาาา #ทีมเมืองทอง

ในตลาดมีของสินค้ามากมาย ส่วนมากเป็นของฝาก แล้วท้องก็ร้องอีกแล้ว เลยฝากท้องที่ร้านอาหารร้านนึงซึ่งมีอาหารพื้นเมืองของมาเก๊า นั่นก็คือ....



Pork Chop Bun เป็นอาหารพื้นเมืองที่นักท่องเที่ยวควรไปชิม รสชาติก็ดีนะ เป็นสเต็กพอร์คชอป ประกบด้วยขนมปังคล้ายๆ แฮมเบอร์เกอร์ ระหว่างที่กำลังหม่ำนั้น มีนักท่องเที่ยวชาวจีนกลุ่มนึงประมาณ 5-6 คนเข้ามานั่งแจมด้วยเพราะโต๊ะเต็มหมดแล้ว ซึ่งไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้เลย แล้วก็มีผู้หญิงคนนึงถามอิชั้นว่า เห่าชือ? (แปลว่า อร่อยในภาษาจีนกลาง) ความที่อิชั้นเคยเลือกเรียนภาษาจีนมาตั้งคอร์สนึง เลยตอบไปแบบมั่นใจว่า "yes เห่าชือ"
หัวเราะกันทั้งแกงค์เลย

ทิปส์การเอาตัวรอด 2: อย่ากลัวที่จะสื่อสารกับคนที่พูดภาษาเดียวกับเราไม่ได้ รูปภาพหรือท่าทาง ก็ทำให้อีกฝ่ายเข้าใจได้เหมือนกัน 

ทิปส์การเอาตัวรอด 3: รู้คำศัพท์ง่ายๆ บางคำของภาษาท้องถิ่นบ้างก็ดี ทำให้ดูน่ารักขึ้น 20% โดยประมาณ (สำรวจโดยสวนสัตว์ดุสิตโพล์)

หลังจากอิ่มท้องแล้วก็เดินทางต่อ ก่อนออกจากร้านก็ไม่ลืมที่จะบอกลาแกงค์จีนแผ่นดินใหญ่แกงค์นั้นอย่างมั่นใจว่า ไจ้เจี้ยน (ลาก่อน) แหม ถ้าอาจารย์เห็นความสามารถในการสื่อสารภาษาจีนกลางของอิชั้นวันนี้น่าจะแก้เกรดวิชา Mandarin I จาก B+ เป็น D+ แน่ๆ 

ออกจากตลาดไทปา ไปเจอมุมสวยๆ มุมนึงค่ะ


ขึ้นบันไดไปจะมีพิพิธภัณฑ์เรียงกัน 4 ตึก หน้าตาสวยๆ แบบนี้


หันหน้าออกไปจากพิพิธภัณฑ์ จะเห็น เวเนเชี่ยน แกแล็คซี่และบึงที่เต็มไปด้วยบัวเหี่ยวๆ แห้งๆ แบบนี้


เห็นภาพนี้แล้วอยากฟังเพลงขึ้นมาทันที




หลังจากชื่นชมกับบ้านเรือนและบรรยากาศในหมู่บ้านไทปาจนชุ่มปอดแล้ว หน่อยก็เดินกลับไปตั้งหลักที่ Galaxy อีกรอบเพื่อวางแผนที่เที่ยวที่ต่อไป(เตรียมตัวพร้อมมากเลยนะหล่อน) ซึ่งดูจากแผนที่แล้ววันนี้อยากเน้นฝั่งเกาะเลยตัดสินใจไปหมู่บ้านโคโลอาน (Coloane Village) ถามทางพนักงาน Galaxy (อีกแล้ว) ก็ได้ความว่าต้องขึ้นรถเมล์ฝั่งตรงข้าม Galaxy (ตรงทางเข้าหมู่บ้านไทปานั่นแหละค่ะ) หน่อยขึ้นสาย 25 ค่าโดยสารจะแพงกว่าสายอื่นๆ เล็กน้อย อยู่ที่ 3.7 เหรียญ

หมายเหตุ 1: ลืมบอกว่าค่าโดยสารปกติของรถเมล์มาเก๊าอยู่ที่ประมาณ 3.2 เหรียญ แต่ถ้าสายยาวๆที่วิ่งข้ามเขตจะแพงกว่านั้นค่ะ รถเมล์ที่นั่นจ่ายด้วยเงินสดก็ได้(ห้ามจ่ายต่ำกว่าราคาที่เค้ากำหนดไว้ ถ้าจ่ายเกินก็ไม่ทอนนะ) หรือถ้าอยากสะดวกก็ซื้อ Macau Pass ใช้จ่ายค่ารถเมล์ได้เหมือนกันค่ะ

หมายเหตุ 2: การขนส่งในมาเก๊ายังไม่มีรถไฟฟ้านะคะ แต่เห็นฝั่งไทปามีตอม่อคล้ายๆ รถไฟฟ้าบ้านเราขึ้นมาบ้างแล้ว อีกสักพักคงได้ใช้กันมั้ง

หน่อยลงที่ป้าย Coloane Village 1 ถามทางคนแถวนั้นเค้าบอกให้เดินย้อนไปจะเจอกับวงเวียนแบบนี้


เลี้ยวซ้ายจะเจอกับร้านทาร์ตไข่อันลือเลื่องของที่นี่


จริงๆ แล้ว Lord Stow ในหมู่บ้านนี้มีหลายร้านเหลือเกิน ไม่รู้ว่าร้านไหนเป็น Original เลย - -"
ไปถึงก็ต้องรับบัตรคิวก่อน


รอไม่นานก็ได้เข้าไปนั่ง บรรยากาศในร้านดูเล็กๆ อบอุ่นดีค่ะ


ขออนุญาตอาเจ้สองคนในรูปด้วยนะคะ ขอลงรูปนิดนึง

มาถึงร้านนี้ สิ่งที่ดิฉันสั่งมาจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก...


ชากับน้ำผึ้ง  เย้ยยย ไม่ใช่ ต้องนี่สิ


ทาร์ตไข่!!!!!!

ดิชั้นมาถึงมาเก๊าแล้วค่าาาาาาาา!!!!!

อาหย่อยจุงเบย ลืมไปเลยว่า KFC รสชาติเป็นไง
ดื่มด่ำกับทาร์ตไข่เทพๆ กันแล้ว อากาศดีๆแบบนี้ เดินเล่นในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ซะหน่อย



ฝั่งตรงข้ามคือ จีนแผ่นดินใหญ่ค่ะ มีท่าเรือข้ามไปด้วยนะ ตรงที่หน่อยยืนอยู่มันเป็นทางเดินสวยๆ มีม้านั่งไว้นั่งรับลม อากาศก็ดี๊...ดี คนก็จูงลูก จูงหลาน จูงหมา จูงแมว จูงแฟน มาเดินเล่น (อันหลังทำเอาตาร้อนผ่าวๆ) บรรยากาศดีมาก ผู้คนไม่พลุกพล่าน มันดีอะ พูดได้แค่นี้จริงๆ


โบสถ์เล็กๆ ประจำหมู่บ้าน


หลงรักหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ซะแล้วสิ  เสียดาย ชื่นชมซะเพลินจนลืมถ่ายรูปเลย มารู้ตัวอีกทีก็วันต่อมาว่าถ่ายรูปโคโลอานน้อยมากกก (เค้าเสียไต T.T)

จากนั้น ก็สมควรแก่เวลาที่จะต้องจากลาหมู่บ้านอันน่ารักแห่งนี้แล้ว เลยกลับมานั่งวางแผนการเดินทางที่หมายต่อไปที่ป้ายรถเมล์ตรงเยื้องๆ กับร้าน Lord Stow ที่กินเมื่อกี๊ ก็ตัดสินใจว่าไหนๆ ก็ลงมาเกือบใต้สุดของมาเก๊าละ ขึ้นเหนือสุดมันซะเลย Barrier Gate คือจุดหมายต่อไปค่ะ หน่อยนั่งรถเมล์สาย 25 ซึ่งค่าโดยสารที่ป้ายนี้คือ 5 เหรียญ (แพงสุดที่เคยขึ้นที่มาเก๊าเลยนะ) สุดสายที่ Barrier Gate พอดี ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงได้ ก็ถึงชุมทางสายรถเมล์ที่เมื่อวันก่อนหน่อยนึกว่าสุดสายน่ะค่ะ มันจะเป็นเหมือนที่จอดรถชั้นใต้ดิน แล้วมีรถเมล์หลายๆสายมาจอดรวมๆ กัน พอลงจากรถให้ขึ้นบันไดเลื่อนมาแล้วเราจะเจอผู้คนมากมายพร้อมกับ....


นี่คือ Barrier Gate ค่ะ เป็นพรมแดนระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่ (เมืองจูไห่) กับเขตปกครองพิเศษมาเก๊า
วันนี้วันอาทิตย์ คนเข้าไปฝั่งเมืองจีนเยอะมาก คงมาเที่ยวพักผ่อน หรือ เล่นการพนันแล้วก็กลับไปทำงานกันในวันต่อไป ส่วนคนที่เข้ามาในมาเก๊าก็เยอะเหมือนกันค่ะ 

ท่ามกลางคนพลุกพล่านและเสียงภาษาจีนอันเซ็งแซ่แถวๆ นั้น ชะนีมองโกลอยด์หัวแดงตัวบักเอ้บที่มีความรู้ภาษาจีนน้อยนิด ยืนกางแผนที่แทบสุดแขนเพื่อหาจุดหมายปลายทางต่อไป(ถ้าวางแผนคงไม่ใช่หน่อยสินะ) จุดหมายต่อไปที่นางจะไปคือ กระเช้าขึ้น Guia Fortress ซึ่งอยู่บริเวณ Flora Garden นั่งรถสาย 3 แล้วก็ลงผิดป้าย (หลงตลอดๆ) เดินไปเรื่อยๆ จนถึง ปรากฎว่ากระเช้าปิดแล้ว เลยเดินชิลๆ ในสวนสักพัก


หมายเหตุ 3: ด้วยความที่พื้นที่จำกัด คนที่นี่มักอาศัยอยู่ในคอนโดหรืออพาร์ทเม้นซะส่วนใหญ่ ดังนั้นเวลาเย็นๆ ตามสวนสาธารณะหรือริมถนน มักจะมีผู้คนเอาน้องหมามาเดินเล่นอยู่เสมอๆ  

จุดหมายต่อไป เริ่มมืดแล้ว เลยเดินเรื่อยๆ เพื่อหาอาหารเย็น เดินจนเจอร้านๆ นึงอยู่ชั้นใต้ดินแถวๆ senado (เดินมาไกลเหมือนกันนะ) พลิกเมนูไปมาหลายรอบเลยสั่ง ข้าวขาหมูกับน้ำมะนาว


โอ้ว อลังมากค่าาาา ข้าวที่นี่ให้เยอะทุกร้านเลย
ขาหมูที่นี่ไม่เหมือนบ้านเราค่ะ บ้านเราจะใช้ตรงสะโพกหมู(รึเปล่า) ส่วนที่นี่คือขาจริงๆ มีแต่กระดูกกะเอ็น 


ส่วนน้ำมะนาวที่นี่ เค้าเขียนในเมนูว่า Lemon Water (บ่จั้ย Lemon Juice เน้อ) มันจะเป็นน้ำผสมน้ำตาลแล้วเอาเลม่อนฝานๆ แช่แบบในรูปค่ะ กินแล้วรู้สึกว่าเหมือนกินน้ำล้างแก้วมะนาวยังงัยก็ไม่รู้

หมายเหตุ 4: ก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ชามใหญ่มว๊ากกก  ยังกะอ่างล้างหน้า กินกันหมดได้ไงก็ไม่รู้

เดินออกจากร้านก็ไปหาของมาตุนไว้ทานตอนเช้าที่ เซเว่นแถวๆ Senado แล้วก็กลับโรงแรมค่ะ


วันที่ 2 จบแล้วค่าาาา ยาวมาก เป็นไงมั่งสนุกมั้ยคะ
ติชมได้นะคะ ส่วนตอน 3 จะอัพเร็วๆ นี้ค่ะ 
ขอบคุณที่อ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่ะ xoxo



















No comments:

Post a Comment