พอลงมาจัดการเรื่องห้องที่ counter เสร็จ พนักงานโรงแรมนางมองการแต่งตัวอิชั้นแล้วก็อมยิ้มเล็กๆ
พร้อมกับพูดว่า "คุณครับ รักษาสุขภาพด้วยนะครับ ช่วงนี้อากาศที่นี่เย็นลงเรื่อยๆ นะครับ"
จะไม่ให้นางพูดแบบนั้นได้ไง วันนั้นหน่อยใส่เสื้อแขนตัด (คล้ายแขนกุดน่ะค่ะ แต่มีแขนเสื้อออกมานิดนึง แบบว่าอยากโชว์ไบเซ็ป ไตรเซ็ปน่ะ) กางเกงกระโปรงขาสั้น รองเท้าผ้าใบและสิ่งที่ดูจะกันหนาวได้ดีที่สุดคือผ้าพันคอผืนบางๆ ซึ่งปกติใส่เป็น accessary มากกว่ากันหนาว
ก็ได้แต่ยิ้มตอบ พร้อมกับถามเรื่องฝากกระเป๋า นางบอกว่าให้ไปฝากที่ concierge พอไปที่เคาท์เตอร์นั้น อุแม่เจ้า!! หล่อ หล่อมาก กรี๊ดๆๆ (กรี๊ดในใจค่ะ เดี๋ยวเค้าจะรู้ว่าเราบ้า) คือ งานดี งานละเอียดค่ะ พูดได้แค่นี้จริงๆ
หลังจากฝากกระเป๋าจนหายเพ้อแล้ว อีป้าก็เดินออกมาจากโรงแรมมุ่งหน้าไปที่ Fisherman's Wharf ซึ่งอยู่ติดกับโรงแรมเลยค่ะ
อันนี้ฝั่งตรงข้ามค่ะ ยังเป็นเขตของโรงแรม Sands อยู่
เข้ามาปุ๊บจะเจอโคลอสเซียม
หน่อยว่ามันคล้ายๆ Palio หรือ Mimosa ของบ้านเราค่ะ ที่เป็นสถานที่ชอปปิ้งแล้วมี theme ของอาคารร้านรวงที่ถอดแบบมาจากชาติอื่นๆ หน่อยไปถึงตั้งแต่ 9.30 ค่ะ ยังไม่มีร้านไหนเปิดเลย แต่ก็ถ่ายรูปได้ เลยกดมาซะ...
สีสันสดใสมาก
อันนี้คล้ายๆ ลานเบียร์บ้านเราค่ะ รับลมชมวิวสะพานที่ไปไทปา
เดินจนสุดแล้วออกมาอีกฝั่งนึงค่ะ แล้วเดินต่อไปเรื่อยๆ จะเห็นวิวแบบในรูป
จุดหมายต่อไปคือ รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมค่ะ เห็นมั้ยคะในรูป
ถ้ายังไม่เห็น เดินไปอีกซัก 500 เมตรจะเห็นแบบนี้ค่ะ
คราวที่แล้วหน่อยก็เคยยืนตรงจุดที่หน่อยถ่ายรูปนี้ล่ะค่ะ (เป็นที่เดียวเลยมั้งที่มาซ้ำกับคราวที่แล้ว) แต่ไม่ได้เข้าไปข้างใน เพราะเค้าปิดค่ะ เลยถ่ายรูปได้จากริมถนน
คราวนี้ก็นึกว่าพลาดซะแล้ว หน่อยมาถึงเค้ากั้นไว้ไม่ให้เข้า ดีว่าเห็นป้ายเค้าบอกเวลาเปิด 10 โมงเช้า ขณะนั้นเวลา 9.55 ก็รอจน 10 โมงตรงเป๊ะคุณลุง รปภ. มาเปิดให้ค่ะ พอเดินเข้าข้างในตรงฐานของเจ้าแม่กวนอิมก็มีทางลงไปข้างล่างอีกค่ะ เป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของที่นี่ ที่สำคัญ ฟรีค่ะ
ก่อนไปจากที่นี่ ถ่ายภาพเจ้าแม่กวนอิมมุมกว้างซะหน่อย เอาไปเป็น cover ใน facebook เกร๋ๆ
หมายเหตุ 1: ทั่วมาเก๊ามี Wifi ฟรีค่ะ หนึ่งในสถานที่เหล่านั้นก็คือพิพิธภัณ์เจ้าแม่กวนอิมนี่ล่ะค่ะ ถ้าอยากรู้ว่าจุดไหนที่มี wifi ฟรีบ้าง ให้ดูจากแผนที่ท่องเที่ยวของมาเก๊านะคะ แจกฟรีที่สนามบินและเวเนเชี่ยนค่ะ
upload cover photo เสร็จแล้ว จุดหมายปลายทางต่อไปคือ flora garden ที่เมื่อวานพลาดขึ้นกระเช้าไป Guia Fortress ค่ะ หน่อยเดินต่อไปอีกจนถึงแยกตึก MGM มีพี่สิงโตมานั่งรอค่ะ
แล้วหน่อยก็ข้ามถนนไปทางขวาเดินไปเรื่อยๆ จะเจอกับโรงแรม Wynn ค่ะ
ตึกนี้สวยหรูดูแพงจริงๆ
หมายเหตุ 2: สิ่งน่าสนใจในโรงแรม Wynn นอกจากความสวยงามของอาคารแล้ว ตอนกลางคืนยังมีโชว์น้ำพุด้วยนะ ได้ข่าวว่าสวยดีเหมือนกัน
ถัดจากนั้นหน่อยเลี้ยวขวา เจอกับโรงแรมนี้ (จำชื่อไม่ได้)
แล้วหน่อยก็ขึ้นรถเมล์ที่ป้ายแถวๆ นั้น เพื่อจะไป Flora Garden
ทิปส์การเอาตัวรอด 1: ที่ป้ายรถเมล์ในมาเก๊าจะมีไอ้เจ้าทรงกระบอกหมุนได้แบบรูปข้างล่าง ซึ่งจะบอกว่าตรงนี้รถเมล์สายไหนวิ่งผ่านบ้าง และวิ่งผ่านที่ใดบ้าง ขึ้นไปบนรถเมล์ก็มีทั้งป้าย LED และเสียงบอกว่าป้ายหน้าคือป้ายอะไร ซึ่งมีถึง 4 ภาษา คือ ภาษาจีนกวางตุ้ง ภาษาจีนกลาง ภาษาโปรตุเกสและภาษาอังกฤษค่ะ
ระหว่างที่กำลังมะงุมมะงาหราดูว่าจะต้องขึ้นรถเมล์สายอะไรบ้างนั้น หน่อยได้ยินเสียงผู้หญิงพูดภาษาจีนประโยคนึงดังลอยขึ้นมา แต่ก็ไม่สนใจอะไร ซักพักได้ยินอีกประโยคนึงคล้ายว่ากำลังพูดกับหน่อยอยู่ หันไปเป็นอาเจ๊วัยกลางคนหน้าตาใจดีหันหน้ามาพูดกับหน่อยซึ่งกำลังทำหน้าเหวออยู่ แล้วนางก็พูดภาษาอังกฤษขึ้นมาว่า
อาเจ๊: จะไปไหนล่ะอีหนู
อิชั้น: จะไปนั่งกระเข้าขึ้น Guia Fortress ที่ Flora Garden ค่ะเจ๊
อาเจ๊: อ้อ ขึ้นหอคอยน่ะเหรอ เออ นั่งกระเช้าไปน่ะดีแล้ว ถ้าเดินขึ้นไปเองขาลากแน่ นี่ๆ นั่งสาย 12 สิ 3 ป้ายก็ถึงแล้ว หรือนั่งสาย 23 ก็ได้แต่อ้อมหน่อยนะ 6 ป้าย พอลงแล้วนะเดินย้อนไปทางแยกที่มีสะพานข้ามแยกนะ มันจะอยู่ถัดจากโรงเรียนไปหน่อยนึง อ้อ ทางมันชันขึ้นนิดนึงนะ ก็ถึง กระเช้าขึ้นหอคอยเกียละ (Guia Fortress)
โห เจ๊บอกทางละเอียดขนาดนี้ เจ๊กินแผนที่เป็นอาหารหลักป่าวเนี่ย
อาเจ๊: นี่ลื้อคนไทยใช่มั้ยเนี่ย
อิชั้น: เจ๊รู้ได้ไงอะ
อาเจ๊: คนที่มาเที่ยวที่นี่แล้วใช้แต่ภาษาอังกฤษ ก็มีแต่คนไทยเท่านั้นแหละ
แหม เจ๊ไม่รู้อะไร คนไทยพูดภาษาอังกฤษไม่ได้มีเยอะแยะ
อิชั้น: (หัวเราะ) แล้วเจ๊คนที่ไหนอะ
อาเจ๊: ทายดิ
อิชั้น: ฮ่องกงแน่เลย
อาเจ๊: nooooo lah
ตอบงี้ชัดเลย เจ้เป็นคนที่ไหน
เจ๊คงจะเป็นคนสิงคโปร์ที่รู้ทางในมาเก๊าดีกว่าคนมาเก๊าบางคนอีกมั้งเนี่ย
ซักพักอิชั้นหยิบเหรียญขึ้นมานับ
อิชั้น : เจ๊ ค่ารถมัน 3 เหรียญ 20 ใช่มะ
เจ๊: อือ
อิชั้น: เนี่ย หนูมีอยู่ 2 เหรียญ 20
เจ๊: อะ อั๊วให้ 1 เหรียญ อั๊วใช้บัตร ไม่ได้ใช้เหรียญเท่าไรหรอก เอาไปสิ
อิชั้น: ขอบคุณค่ะเจ๊
และแล้วประเทศไทยก็ลดการขาดดุลย์ไปได้ 4.50 บาท โดยประมาณ
ขอบคุณเจ๊มากค่ะ
ก่อนที่อิชั้นจะไถตังค์เจ๊ไปมากกว่านี้(ล้อเล่นนะคะ อย่าดราม่า) เจ๊รีบขึ้นรถเมล์สายของเจ๊ออกไปทันที
แล้วรถเมล์สาย 23 ก็มาพอดี ดิชั้นขึ้นรถเมล์แล้วไปตามทางที่เจ๊แกบอกมา ก็ถึงกระเช้าขึ้นหอคอยเกียค่ะ
ราคาตั๋วไปกลับ 3 เหรียญเอง ถูกกว่าค่ารถเมล์อีก
ถึงแม้มันจะไม่สูงเท่านองปิงที่ฮ่องกง แต่ก็กลัวอยู่ดี ระหว่างอยู่บนกระเช้าแทบไม่อยากขยับตัวเลย เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา พอถึงข้างบนปุ๊บก็เจอกับลานกิจกรรมแบบนี้
อีกด้านเป็นร้านกาแฟ
"แมนๆ เตะบอลครัช"
ทางขึ้นหอคอยค่ะ
อันนี้เปรียบเสมือนซำสุดท้ายก่อนขึ้นหลังแป ที่ภูกระดึง
ขึ้นชื่อว่าเป็น fortress มันก็ต้องมีปืนใหญ่ด้วยสินะ
เห็น Macau Tower กับโรงแรม Grande Lisbao อยู่ลิบๆ
มีจัดแสดงอุปกรณ์ที่ใช้วัดความแรงของลมด้วย
ถึงแล้ว ประภาคารเกีย (Guia Lighthouse)
ณ ตรงนี้ ความสูงขนาดนี้ ไม่ต้องส่องกระจกดิชั้นก็รู้ว่าใบหน้าดิชั้นซีดเหมือนอกไก่นึ่งซีพีแน่ๆ
มีทั้ง ประภาคาร(lighthouse) ที่อยู่สูง(high) ขนาดนี้ และเห็นนักท่องเที่ยวบางคนก็มากันเป็นครอบครัว(family) นึกถึงเพลงๆ นึงขึ้นมาทันที
VIDEO
หมายเหตุ 3: สำหรับคนที่วิจารณ์ว่าเพลงบัวแล้งน้ำเป็นเพลงบอกอายุ เพลงนี้ใหม่ขึ้นมาหน่อยนึงแล้วนะ
หมายเหตุ 4: เกี่ยวข้องแค่ชื่อเพลงกับชื่อนักร้องเฉยๆ เนื้อหาคนละเรื่องเลย
ชื่นชมวิวทิวทัศน์ข้างบนซักพัก ก็ต้องกลับ เดี๋ยวจะไปซื้อของฝากไม่ทัน เลยกลับทางเดิมไปขึ้นกระเช้าเพื่อจะลงมาจากเขา
พอลงมาก็ขึ้นรถเมล์ไป senado square (อีกแล้ว) เพื่อจะไปซื้อของฝากที่ทำงานค่ะ โทษฐานที่อู้งานมาเที่ยว
เข้าใจว่าอันนี้คือตึกพิพิธภัณฑ์ไปรษณีย์ อยู่แถวๆ Senado ค่ะ
วันนี้ Senado มีม๊อบ อาม่า อาซิ่ม มากันเยอะเชียว สงสัยประท้วงเรื่องหมากพลูขึ้นราคา
มีม๊อบแล้วน้ำพุไม่ทำงานเลย (เกี่ยวมั้ย?)
โบสถ์เซ็นต์โดมินิกที่เจอวันแรกค่ะ
วันนี้ตอนกลางวันจู่ๆ ก็อยากกินอาหารโปรตุกีสซะงั้น
เลยเดินหาร้านแถวๆ นี้อยู่พักใหญ่ จนมาเจอร้านชื่อ Bao
บรรยากาศในร้านก็ดีค่ะ เปิดเมนูพลิกไปมาหลายรอบ สุดท้ายก็สั่ง
ข้าวผัดเป็ด โรยหน้าด้วยแฮมทอด
อร่อยดีนะ เหมือนเป็ดตรุษจีนที่แม่เอาไปคั่ว 10 ครั้ง มาฉีกเป็นฝอยๆ แล้วผัดกับข้าว แต่ฝืดคอมาก จนต้องสั่งชาอีกกระป๋องนึงเลย
อิ่มท้องแล้วก็ไปซื้อของฝากแถวๆ ทางขึ้น ซากโบสถ์ ชิมก่อนซื้อได้ค่ะ
ได้ egg roll 1 กล่อง ขนมเปี๊ยะไส้สับปะรด 1 กล่อง ไส้เปลือกส้ม 1 กล่อง ไดฟุกุ 2 แพ้ค
ทิปส์1: เวลาซื้อของฝากคนอื่น หน่อยจะซื้อแต่ของกินค่ะ เพราะถ้าเป็นของอย่างอื่นอาจจะไม่ใช้เลยก็ได้ ของกินอย่างน้อยทุกคนได้ชิมนิดนึงก็ยังดี และจะเลือกที่หน่อยคิดว่าอร่อย เพราะถ้าเกิดไม่มีใครกินเลย เราได้เป็นคนจัดการให้หมด (มิน่ามันถึงบวมเอาๆ)
ออกจากร้านของฝากร้านนึง ก็ผ่านอีกร้านที่ขายหมูแผ่น เด็กเชียร์หมูแผ่นหน้าร้านพูดไทยได้ด้วย (เป็นผู้ชายถึกๆนะ ไม่ใช่ผู้หญิงสวยๆ ยืนเป็นกลุ่มล้อมหน้าล้อมหลังเลย)
เด็กเชียร์หมูแผ่น: หมู แผ่น มั้ย (พูดภาษาไทยกระท่อนกระแท่น)
ชะนียักษ์: ไหนชิมหน่อย (หยิบมาชิม เป็นรสพริกไทยดำ คงทำมาเอาใจคนไทยน่ะค่ะ แต่หน่อยว่าไม่อร่อยเลย)
เด็กเชียร์หมูแผ่น: เอามั้ย
ชะนียักษ์: ไม่อะ ไว้ก่อนดีกว่า ขอบคุณนะ (แล้วก็เดินจากไป)
เด็กเชียร์หมูแผ่น: ซวย จริง จริง
เอ่อ คุณผู้อ่านคะ คุณคิดว่าน้องเด็กเชียร์หมูแผ่นเค้าพูดว่า "สวย จริง จริง" หรือ "ซวย จริง จริง" คะ
ช่วยตอบที่คอมเมนต์ด้านล่างด้วยค่ะ
พอเอาความสวยหรือความซวยก็ไม่ทราบออกมาจาก senado แล้ว ดิชั้นก็นั่งรถเมล์กลับโรงแรม ไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่น้องสุดหล่อคนนั้น (ส่วนหัวใจพี่ยังฝากที่น้องนะคะ ฮิ้วววว) แล้วก็ทำเหมือนวันก่อนคือนั่งรถไปท่าเรือ นั่งรถฟรีไป Galaxy แล้วต่อรถไป สนามบิน
ข้างในรถของ Galaxy ค่ะ มี Wifi ฟรีเหมือนกัน
ทิปส์ 2: พอถึงสนามบิน หากคุณบินกับแอร์เอเชียแบบดิชั้น ให้เอา Boarding Pass ที่เป็นกระดาษ A4 ง่อยๆ ไปแลกเป็นแบบกระดาษแข็งอันไฮโซขึ้นมานิดนึงที่เคาท์เตอร์ของแอร์เอเชียก่อนนะคะ ไม่งั้น ตม. ไม่ให้ออกนอกมาเก๊านะเออ
ทิปส์ 3: duty free พวกน้ำหอม เครื่องสำอาง ที่สนามบินไม่มีอะไรที่ถูกกว่าบ้านเราเลย ราคาพอๆ กัน กลับมาซื้อเมืองไทยเหอะ
พอลงดอนเมือง(เล่าข้ามไปเยอะมาก) ด้วยความรู้มากและขี้เกียจของดิชั้น ไม่ยอมเสีย 50 บาทค่ะ อุตส่าห์เดินขึ้นไปตรงผู้โดยสารขาออก เจอแท๊กซี่คันนึงจอดอยู่
ชะนี: น้องๆ ไป...รึเปล่า
แท๊กซี่: ไปครับ
ชะนีรีบขนข้าวของขึ้นเบาะหลังอย่างเร็วไว พอปิดประตูปุ๊บ อีคนขับก็บอกว่า
แท๊กซี่: พี่ ผมขอบวกจากมิเตอร์เพิ่มอีก 40 บาทได้ปะ รถมันติดน่ะวันนี้
ชะนี: (ตัดรำคาญ) ได้ๆ
ระหว่างนั้นชะนีขี้เม้าท์ก็โทรเมาท์มอยเรื่องไปเที่ยวตามประสา
พอถึงที่หมาย มิเตอร์ก็โชว์ 267 บาท
แท๊กซี่: 307 บาทครับพี่
ชะนี: (นับเงินมีแต่แบงค์ร้อย) 300 ถ้วนได้ปะ
แท๊กซี่: โห พี่ ไปเที่ยวใช้เงินเป็นแสนๆ แค่นี้ให้ไม่ได้เหรอ
แสน พ่องงงงง
ชะนี: เห้ย (ชักโมโห) ถ้ามีแสนนึงไปเที่ยวยุโรปไม่ดีกว่าเหรอวะ ไม่เที่ยวแค่มาเก๊าหรอก แล้วนี่ก็บวกให้ตั้งเยอะแล้ว จะเอาอะไรอีกวะ
แท๊กซี่: โห อิจฉาคนรวยจริงๆ
แม่ง ยังไม่จบ (ขออนุญาตหยาบคายนิดนะคะ โมโหจริงๆ)
ให้เงินมันไป 300 แล้วรีบลงจากรถเลย รมณ์เสีย
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: "ทำไม ไม่ไปขึ้นตรง อมารี วะ ไม่เสียเพิ่มซักบาท" น้องชายคนรองของอิชั้นกล่าว หลังจากเล่าให้มันฟัง
จบทริปมาเก๊าแล้วค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะ
ส่วนตอนหน้าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เป็นการท่องเที่ยวแบบใหม่ที่คนไทยยังไม่ค่อยคุ้นเคย
จะเป็นอะไร เร็วๆ นี้จะเล่าให้ฟังค่ะ สำหรับวันนี้ขอตัวไปเตรียมข้อมูลของตอนต่อไปนะคะ
รักนะทุกคน จุ๊บๆ